ไทยออยล์โชว์กำไรสุทธิปี 65 พุ่งแตะ 32,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 159.72% โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (GIM) อยู่ที่ 14.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีกำไรจากการขายหุ้น GPSC ราว 12,880 ล้านบาท ส่วนภาพรวมธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในปี 2566 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ตามเศรษฐกิจโลกที่เติบโตและจีนเปิดประเทศ
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เปิดเผยผลประกอบการปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 14.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 297,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย และ EBITDA จำนวน 505,703 ล้านบาท และ 37,187 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อหักค่าใช้จ่ายดำเนินงานต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่าย ภาษีเงินได้ ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ ผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน รวมถึงมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม และกำไรขาดทุนจากการจัดประเภทเงินลงทุนใหม่ ทำให้ผลการดำเนินงานปี 2565 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159.72% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,578 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิ 15.63 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 6.17 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และด้วยปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 285,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 123,132 ล้านบาท และ EBITDA 2,398 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ต้นทุนทางการเงิน การบวกกลับรายการภาษีเงินได้ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ และผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน ทำให้ไตรมาส 4/2565 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิ 0.07 บาทต่อหุ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 444,581 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 82,437 ล้านบาท สาเหตุหลักจากสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากลูกหนี้การค้า และสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในเดือนธันวาคม 2565 ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2564 สำหรับหนี้สินรวมของกลุ่มไทยออยล์ปรับเพิ่มขึ้น 46,873 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนมาอยู่ที่ 285,923 ล้านบาท เนื่องจากหนี้สินหมุนเวียนปรับเพิ่มขึ้น มาจากเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น ตามราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นประกอบกับการทำ Extended Trade Credit กับ ปตท.ในส่วนของผู้ถือหุ้นของกลุ่มไทยออยล์มียอดรวมทั้งสิ้น 158,657 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 35,563 ล้านบาทจากสิ้นปีก่อน จากผลกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากทั้งกำไรจากการดำเนินงานและกำไรพิเศษจากการขายหุ้นบางส่วนในบมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ราว 12,880 ล้านบาท รวมถึงส่วนของทุนออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้วและส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่เพิ่มขึ้นจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
ส่วนภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในปี 2566 นี้ คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตและประเทศจีนมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจก็ยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อควบคุมสภาวะเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต ก้าวไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน