ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เรามีความเชื่อมั่นว่าเส้นทางของธุรกิจในประเทศไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 จากการที่ธุรกิจในประเทศยังคงขับเคลื่อนด้วยพลังในการก้าวข้ามอุปสรรค อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ว่าในปี 2566 เศรษฐกิจในประเทศมีโอกาสในการเติบโตขึ้นถึง 3.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและความต้องการภายในประเทศที่ฟื้นตัวมากขึ้น โดยการฟื้นตัวในครั้งนี้ยังจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันในพื้นที่ดิจิทัล เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าราว 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วโลกจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปีนี้ ด้วยภูมิทัศน์ดิจิทัลที่มีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โอกาสในการเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางที่พวกเขาใช้รับสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง และนั่นหมายถึงช่องทางต่างๆ เช่น แพลตฟอร์ม ครีเอเตอร์ เพื่อน และครอบครัว ที่จะเป็นผู้ผลักดันการค้นพบและการพิจารณาสินค้าและบริการจากแบรนด์ระดับท้องถิ่นต่างๆ
ธุรกิจที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ ปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มีแนวโน้มที่จะได้รับโอกาสในช่วงสภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าธุรกิจอื่นๆ และนี่คือเทรนด์โซเชียลที่น่าจับตามองและธุรกิจควรนำมาปรับใช้เพื่อผลักดันการเติบโตในปี 2566 ดังนี้
ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI : Generative AI เป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในปัจจุบัน AI ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น ในขณะที่เทคโนโลยีดังกล่าวยังคงได้รับการพัฒนาประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนี้ ทำให้หลายผลิตภัณฑ์และบริการในปัจจุบันได้ผสานเทคโนโลยี AI เข้าไว้ด้วย เช่น อุปกรณ์สมาร์ทโฮม รถยนต์ไร้คนขับ และผู้ช่วยเสมือนจริง เป็นต้น การนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อวิเคราะห์ จัดการ เข้าถึง และให้บริการเชิงให้คำปรึกษาจากข้อมูลที่ไร้โครงสร้างยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการคาดการณ์ว่าการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบ AI ของ International Data Corporation หรือ IDC จะเพิ่มขึ้นจาก 17.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน พ.ศ.2565 เป็น 32 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน พ.ศ.2568
ในปัจจุบัน ธุรกิจยังให้ความสนใจกับระบบการทำงานอัตโนมัติ (automation) เพื่อพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าและประหยัดเวลาในการดำเนินงานมากขึ้น และด้วยเหตุนี้ Meta จึงได้แนะนำเครื่องมือใหม่ๆ ผ่าน Meta Advantage เพื่อช่วยให้ผู้ลงโฆษณาทุกคนได้ใช้ประโยชน์จากพลังของ AI และระบบการทำงานอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้งบที่ใช้ลงทุนโฆษณา และแคมเปญชอปปิ้ง Advantage+ เพื่อช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถลดขั้นตอนในการสร้างโฆษณาแบบแมนนวล และสร้างสรรค์ชิ้นโฆษณาแบบครีเอทีฟที่สามารถผสมผสานกันได้มากถึง 150 รูปแบบโดยอัตโนมัติในครั้งเดียว
การส่งข้อความเชิงธุรกิจ : โลกที่เราอยู่ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการส่งข้อความเป็นอันดับแรก จากสถิติทั่วโลก มีผู้คนจำนวนกว่าหนึ่งพันล้านคนที่ส่งข้อความหาธุรกิจในแต่ละสัปดาห์ผ่าน WhatsApp Messenger และ Instagram Direct โดยเป็นการส่งข้อความส่วนตัวหาแบรนด์ต่างๆ เลือกชมแค็ตตาล็อกสินค้า ขอความช่วยเหลือ หรือตอบโต้กับ Stories ของธุรกิจ ทั้งนี้ มูลค่าของโฆษณาที่คลิกต่อไปการทักแชตทาง Messenger กับธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การส่งข้อความเชิงธุรกิจกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ยิ่งไปกว่านั้น ในประเทศไทยเรายังเล็งเห็นว่าการส่งข้อความเชิงธุรกิจได้ปลดล็อกโอกาสครั้งใหม่ๆ ให้ธุรกิจและลูกค้า โดยผลการศึกษาที่จัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ได้แสดงให้เห็นว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยกล่าวว่า การส่งข้อความเชิงธุรกิจเป็นช่องการสื่อสารกับธุรกิจที่พวกเขาชอบมากที่สุด ในขณะที่ 78 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยกล่าวว่าพวกเขาได้ส่งข้อความไปหาธุรกิจต่างๆ แล้วอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์
การชอปปิ้งข้ามพรมแดน ในปัจจุบัน โลกของเราสามารถเชื่อมต่อกันได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถเลือกซื้อสินค้าจากที่ใดก็ได้บนโลก และผู้คนรู้สึกสบายใจกับการซื้อสินค้าจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก จนทำให้การค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเติบโตกว่าการค้าอีคอมเมิร์ซภายในประเทศถึง 5 เท่า ภายในปี 2569 มีการคาดการณ์ว่าตลาดการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ 17 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ปี 2562 ทั้งนี้ Meta ได้ร่วมมือกับ YouGov ในการสำรวจความคิดเห็นนักช้อปจำนวนกว่า 16,000 คนจาก 8 ประเทศ
ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนกว่าครึ่งกล่าวว่าพวกเขาเคยซื้อสินค้าจากธุรกิจในต่างประเทศ และ 82 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่า พวกเขามีโอกาสที่จะซื้อสินค้าจากธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงโอกาสในการซื้อขายข้ามพรมแดนในอนาคต นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียยังมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการค้นพบสินค้า โดย 58 เปอร์เซ็นต์ของนักชอปข้ามพรมแดนที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาค้นพบสินค้าจากธุรกิจในต่างประเทศผ่านทางโซเชียลมีเดีย
Virtual และ Augmented Reality : ปีที่ผ่านมา ธุรกิจมากมายเปิดรับการใช้งานเทคโนโลยี AR/VR เพื่อเสริมประสบการณ์ลูกค้ามากขึ้น ธุรกิจต่างๆ เริ่มพัฒนาวิธีสัมผัสประสบการณ์กับแบรนด์ให้มีความสร้างสรรค์และเสมือนจริงยิ่งกว่าเคย โดย IDC ระบุว่า เม็ดเงินลงทุนในเทคโนโลยี AR/VR ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 42.4 เปอร์เซ็นต์ (ระหว่างปี 2564-2569) และจะมีมูลค่าถึง 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2569 และโฆษณาแบบ AR จะช่วยให้แบรนด์เชื่อมต่อถึงลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และเสริมประสิทธิภาพโฆษณาในภาพรวมสำหรับผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มของเรา เรายังเห็นคอมมูนิตีของครีเอเตอร์ AR ที่แข็งแกร่งมากในไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบประเทศทั่วโลกที่มีจำนวนครีเอเตอร์ Spark AR ที่มีผลงานอย่างต่อเนื่องมากที่สุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว
ครีเอเตอร์ : ครีเอเตอร์คืออนาคต เป็นที่น่าสนใจว่า กว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างนักชอปข้ามพรมแดนต่างบอกว่าเหล่าครีเอเตอร์คือแหล่งข้อมูลสำคัญในการค้นพบแบรนด์และช่วยประเมินคุณภาพสินค้า จึงนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ในการทำงานเพื่อสร้างเรื่องราวของแบรนด์ร่วมกับบรรดาครีเอเตอร์
ในช่วงปลายปีที่แล้ว เราได้เปิดตัวโครงการ ‘Creators of Tomorrow’ ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลก เพื่อโปรโมตครีเอเตอร์ที่มุ่งสร้างสรรค์ผลงานและขับเคลื่อนคอมมิวนิตี้บนแอปต่างๆ ของเรา ซึ่งสามารถดูเหล่าครีเอเตอร์ที่หลากหลายในโครงการได้ที่นี่ นอกจากนั้น Instagram Trend Report ประเทศไทยยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ชาวไทยยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่พวกเขาติดตามสูง (อินฟลูเอ็นเซอร์) ดังนั้นสำหรับแบรนด์ไม่มีช่วงเวลาไหนเหมาะสมกับการคอลแล็บ หรือทำงานร่วมกับบรรดาครีเอเตอร์ หรือกระทั่งการสร้างคุณค่าแบรนด์ร่วมกันได้ดีไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว เรียกได้ว่า ถ้าอยากโตให้เร็วให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปให้ไกล เราต้องไปด้วยกัน
ชอปปิ้งออนไลน์ : แม้ผู้บริโภคจะเริ่มกลับไปจับจ่ายที่ร้านค้ามากขึ้น แต่พฤติกรรมการชอปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เกิดขึ้นระหว่างสถานการณ์โรคระบาดยังคงมีอิทธิพลอยู่ โดยสำหรับคนในกลุ่ม Gen X และ Baby Boomers การค้นพบสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยจาก Nielsen ชี้ว่ากว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ของนักชอปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงซื้อสินค้าออนไลน์ต่อไป
ในขณะที่นักชอปจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความตั้งใจซื้อสินค้าออนไลน์สูงสุดมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ในขณะเดียวกัน Social Commerce หรือการซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดีย ยังเป็นช่องทางการขายที่เติบโตเร็วที่สุด โดยกว่า 62 เปอร์เซ็นต์ ของนักชอปออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บอกว่าเป็นช่องทางการซื้อที่พวกเขาชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงหลายปีที่ Social Commerce เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้บริโภคในกลุ่ม Gen Z ได้เข้ามาขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชอปอย่างเห็นได้ชัด โดยในประเทศไทย นักชอป Gen Z ได้ใช้ประโยชน์จาก Touch Point (จุดสัมผัสระหว่างการซื้อ) ทั้งแบบออนไลน์และภายในร้านค้า สลับกันได้อย่างลื่นไหลผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นเครื่องมือการชอปสินค้าที่สำคัญที่สุดของผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดยกว่า 54 เปอร์เซ็นต์ ของนักชอป Gen Z ชาวไทยเคยสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และนัดรับของด้วยตัวเองที่ร้านค้า
วิดีโอสั้น (Short-form video) : วิดีโอยังคงเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งทั่วโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงแพลตฟอร์มของเราด้วย โดยฟีเจอร์ Reels เติบโตอย่างก้าวกระโดดบนแอปของ Meta ทั้งในแง่ของจำนวนวิดีโอสั้นและยอดดู Reels จึงนับเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่โตเร็วที่สุดของ Meta
โดยเราพบว่าผู้ใช้งาน Instagram ใช้เวลาไปกับวิดีโอ Reels ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบัน Reels มียอดดูบน Facebook และ Instagram จากเดิมที่มีรวมกันกว่า 140,000 ล้านครั้งต่อวัน เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก วิดีโอได้กลายมาเป็นวิธีหลักที่ผู้คนใช้แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองบนแพลตฟอร์มของเรา
คำถามคือธุรกิจต่างๆ ควรตอบสนองอย่างไรกับเทรนด์เหล่านี้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจเป้าหมายของธุรกิจก่อน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์หรือสร้างประสบการณ์การชอปปิ้งที่เสมือนจริงยิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร คุณก็จะสามารถเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้
นอกจากนี้ การเล่าเรื่องราวของแบรนด์ผ่านวิดีโอในรูปแบบและความยาวต่างๆ จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ ทั้งในแง่ของการสร้างแบรนด์และการค้นพบแบรนด์ ข้อดีของเทรนด์เหล่านี้ คือธุรกิจมีตัวเลือกในการเข้าถึงและเชื่อมต่อกับผู้คน และสามารถสร้างแบรนด์ผ่านประสบการณ์ได้อย่างหลากหลายมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นโซเชียล ออนไลน์ เทคโนโลยีเสมือนจริง หรือผ่านบทสนทนา จึงนับว่าเป็นพื้นที่น่าสนใจที่น่าสำรวจ ซึ่งที่ Meta เรามักจะพูดเสมอว่า “Begin Anywhere” - เริ่มจากตรงไหนก็ได้ เพราะวิธีการสร้างธุรกิจและเชื่อมต่อกับผู้บริโภคจะยังคงพัฒนาต่อไป และมีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ