โพลี (Poly) โชว์วิสัยทัศน์ฉายแนวโน้มการทำงานหลังความกังวลเรื่องการระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย พบตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดครั้งใหญ่จนถึง พ.ศ.2565 พนักงานทั่วโลกเลือกทำงานทางไกลเพิ่มขึ้น 25% ล่าสุดความต้องการเชื่อมโยงถึงกันเป็นปัจจัยดึงให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงานอีกครั้ง ดังนั้น องค์กรจึงต้องคิดใหม่ทำใหม่ในการจัดสรรสำนักงานให้แตกต่างจากช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ที่มากกว่า 70% ของพื้นที่สำนักงานถูกจัดสรรเพื่อโต๊ะทำงานให้แต่ละบุคคล
แนวโน้มที่เกิดขึ้นทำให้การทำงานไม่ได้หมายถึงแค่สถานที่อีกต่อไป แต่หมายถึงพนักงานขององค์กรได้ลงมือทำงานนั้น “อย่างไร” โดยโพลีเชื่อว่าองค์กรจะหาวิธีรองรับพนักงานที่กลับมาทำงานในสำนักงานหลังผู้คนชินชากับไวรัสได้ ก็ต่อเมื่อได้ให้ความสำคัญกับพนักงาน เทคโนโลยี และการจัดสรรพื้นที่ทำงาน ซึ่งจะเป็น 3 องค์ประกอบที่สำคัญของการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) ที่โพลีย้ำว่าพนักงานทั่วโลกชื่นชอบ เนื่องจากเป็นการทำงานได้ทั้งที่สำนักงานและที่ใดก็ได้
การเปิดเผยเทรนด์ครั้งนี้ของโพลี เกิดขึ้นในช่วงที่มีข่าวว่าเอชพี (HP) ได้เทเงินเข้าซื้อกิจการของโพลีด้วยมูลค่ากว่า 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเชื่อมั่นในอนาคตของธุรกิจระบบสนับสนุนการทำงานแบบไฮบริด โดยโพลีนั้นเป็นชื่อใหม่ที่เปลี่ยนจากเดิมคือ Plantronics ในช่วงหลังจากที่ถูก Polycom ซื้อกิจการในปี 2561 เบื้องต้น เอชพียังไม่ได้ประกาศว่าจะแยกแบรนด์โพลีออกมาทำตลาดต่างหากหรือไม่ เนื่องจากดีลนี้จะยังไม่เสร็จสิ้นจนกว่าจะถึงสิ้นปีปฏิทิน 2565
เอชพีเคยเปิดเผยข้อมูลเมื่อมีนาคมที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันมีห้องประชุมมากกว่า 90 ล้านห้องในหลายประเทศทั่วโลก แต่ห้องที่มีความสามารถในการประชุมผ่านวิดีโอนั้นมีน้อยกว่า 10% ด้วยเหตุนี้ ตลาดโซลูชันห้องประชุมในสำนักงานจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายในปี 2567 โดยโพลีนั้นเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดฮาร์ดแวร์และชุดหูฟังสำหรับการประชุมทางวิดีโอ สถิติรายได้ของโพลีปี 2564 นั้นไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
***โลกการทำงานเปลี่ยนทิศ
ท่ามกลางกลยุทธ์มากมายที่ย้ำว่าองค์กรควรปรับตัวเพื่อต้อนรับโลกใหม่ของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนลักษณะการปฏิบัติงานของพนักงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน หรือการออกแบบและกำหนดการใช้พื้นที่ในสำนักงานขึ้นมาใหม่
แต่โพลีเชื่อว่า หลักสำคัญของโลกของการทำงานยุคใหม่ในระยะยาว จะเริ่มต้นด้วยส่วนผสมหลัก 3 ประการ คือ
1.พนักงาน อันเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดขององค์กร 2.องค์กร ซึ่งควรกำหนดความต้องการและสไตล์รูปแบบการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่ เพื่อเลือกใช้โซลูชันเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม 3.ออกแบบพื้นที่ในสำนักงานสำหรับการทำงานเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้น หลังจากที่องค์กรทำความเข้าใจกับสไตล์รูปแบบการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่แล้ว
โล ฮี บัน สถาปนิกอาวุโสด้านโซลูชันห้องประชุมของโพลี กล่าวว่า หลายองค์กรกำลังให้ความสนใจใช้กลยุทธ์การทำงานแบบไฮบริดในระยะยาวอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงแผนการปรับปรุงพื้นที่สำนักงานเพื่อให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ใหม่ของสำนักงานในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมองค์กร ดังนั้น องค์กรควรเข้าใจว่าการวางแผนรองรับการกลับมาทำงานที่สำนักงานของพนักงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบประสบการณ์สำหรับโลกแห่งการทำงานแบบผสมผสานใหม่ ที่จะให้ผู้คนมาที่สำนักงานเพื่อสร้างการเชื่อมต่อ และในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสบการณ์ให้สูงสุดสำหรับผู้ที่ทำงานในสำนักงานและผู้ที่ทำงานจากที่ห่างไกล
จากการศึกษาวิวัฒนาการของรูปแบบการทำงานมาเกือบทศวรรษ โพลีย้ำว่าได้เห็นรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกัน 6 รูปแบบ ซึ่งมักเรียกกันว่ากลุ่มบุคคลในที่ทำงาน (Workplace personas) โดยองค์กรทั่วไป 97% จะมีกลุ่มบุคคลในที่ทำงานในลักษณะ 6 แบบนี้ ได้แก่ 1.Connected executive ผู้บริหารที่มีการเชื่อมต่อกับที่ทำงานอยู่เสมอ 2.Road warrior กลุ่มพนักงานที่ปฏิบัติงานนอกสำนักงานตลอดเวลา 3.Flexible worker พนักงานที่ปฏิบัติงานทั้งในและนอกสำนักงาน 4.Remote collaborator กลุ่มพนักงานที่ทำงานสนับสนุนอยู่นอกสำนักงานหรือที่บ้าน 5.Office collaborator กลุ่มพนักงานที่ทำงานร่วมกันในสำนักงานตลอดเวลา และ 6.Office communicator กลุ่มที่ทำงานที่โต๊ะทำงานตลอดเวลา คุ้นชินกับอุปกรณ์สื่อสารแบบเดิมๆ ในสำนักงาน
ผลสำรวจปี 2565 พบว่ากลุ่ม Remote collaborator มีจำนวนมากที่สุด โดยเป็นกลุ่มที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุด ขณะที่กลุ่ม Office collaborator มีอัตราหดตัวลงแรงที่สุด สะท้อนว่ารูปแบบการทำงานทางไกลนั้นยังคงขยายตัวต่อเนื่องแม้ผู้คนจะเริ่มกลับมาทำงานที่สำนักงานมากขึ้นในปีนี้
โพลีย้ำว่า 6 กลุ่มบุคคลในที่ทำงานนี้มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน มีปัญหาในการทำงานต่างกัน และมีความนิยมในรูปแบบการสื่อสารต่างกัน ดังนั้น องค์กรมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจในความแตกต่างเหล่านั้น และจับคู่รูปแบบการทำงานและพฤติกรรมของพนักงานให้เข้ากับอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกันมากขึ้น อันเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรในท้ายที่สุด
สำหรับองค์กรที่จะประสบความสำเร็จเรื่องการทำงานไฮบริดได้ จะต้องเริ่มที่การเข้าใจถึงวิธีที่พนักงานของตนเองทำงานได้ดีที่สุด และสามารถกำหนดจัดสรรพื้นที่การทำงานเพื่อให้กลุ่มพนักงานได้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาจจำเป็นต้องขยายพื้นที่ออกไปในรูปแบบต่างๆ รวมถึงอาจต้องลงทุนในเทคโนโลยีที่จะให้ประสบการณ์การทำงานที่ราบรื่น ยืดหยุ่น และสร้างความเท่าเทียมในการประชุมมากยิ่งขึ้น
***ตลาดแข่งโหด
โล ฮี บัน ยอมรับว่าตลาดโซลูชันเพื่อการประชุมมีการแข่งขันที่สูงมากในปัจจุบัน แต่โพลีเชื่อว่าโซลูชันของบริษัทมีความโดดเด่นเฉพาะตัวทั้งเทคโนโลยีระดับมืออาชีพโดยเฉพาะในช่วงหลังที่ได้เร่งพัฒนาในเทคโนโลยีด้านเสียงมากขึ้น (Audio) เนื่องจากเล็งเห็นว่าในเทคโนโลยีการประชุมด้วยวิดีโอ (Video) ภาคของเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“เสียงต้องมีความคม ชัด ซึ่งโพลีมีเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน NoiseBlockAI ดีที่สุดในตลาด” โล ฮี บัน ระบุ “แม้คู่แข่งอาจจะชูจุดเด่นเรื่องตัดเสียงรบกวนไม่ต่างกัน แต่หากนำอุปกรณ์มาเปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าโพลีมี Acoustic Fencing ชั้นเยี่ยม คือในขณะที่พูดและมีเสียงดังรบกวนพร้อมกัน เทคโนโลยีจะรวมเฉพาะเสียงภายในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น เสียงรบกวนจะถูกลดลงทันที ผู้พูดจะได้ยินแต่เสียงของตนเอง และคู่สนทนาจะได้ยินเฉพาะเสียงพูด ซึ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์การประชุมของผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ฟังเข้าประชุมจากนอกสถานที่โดยใช้อุปกรณ์ Consumer headset ต่อเข้ากับอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ยังป้องกันเสียงรบกวน เช่น เสียงลมพัดได้ดี โดยโพลีจะมุ่งมั่นช่วยพัฒนาเทคโนโลยีด้านเสียงและด้านวิดีโออย่างต่อเนื่องในอนาคต”
ปัจจุบัน อุปกรณ์ของโพลีสามารถรองรับการแปลภาษาได้ เนื่องจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของโพลีเชื่อมต่อเข้าที่แพลตฟอร์มซูม (Zoom) แต่หากเป็นการโต้เถียงกัน การแปลอาจจะล่าช้าเล็กน้อย ขณะเดียวกัน โพลียังมุ่งเสนอการใช้งานบนบนระบบปฏิบัติการที่หลากหลายเพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสได้ใช้งานทั้งบนระบบแอนดรอยด์ วินโดวส์ และบนอุปกรณ์หลากรูปแบบ
ในภาพรวม โพลีเชื่อว่าบริษัทสามารถช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านโซลูชันห้องประชุมในยุคโควิดคลี่คลาย ได้ด้วยการช่วยให้องค์กรเข้าใจในลักษณะของกลุ่มบุคคลในที่ทำงาน เพราะองค์กรจะสามารถออกแบบและจัดสรรพื้นที่ในสำนักงานได้เหมาะสมยิ่งขึ้น และสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ในที่สุด
