แคนนอน (Canon) ตอบเทรนด์การทำงานยุคใหม่ด้วยโซลูชัน “Smart Workspace Solution” รองรับชีวิตงานหลังโควิดที่ต้องยืดหยุ่น สะดวก มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ระบุออกแบบบริการเพื่อรองรับเวิร์คโฟลว์ของคนทำงานได้ดั่งใจด้วยเทคโนโลยีและบริการเหนือชั้น พร้อมเพิ่มบริการด้านโซลูชันประสิทธิภาพสูง รองรับการทำงานรูปแบบใหม่เพื่อนำเสนอการทำงานแบบไร้รอยต่อทั้งในและนอกสำนักงาน
แคนนอนอธิบายแนวคิดของการพัฒนา “Smart Workspace Solution” ว่าเทรนด์การทำงานในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ทุกองค์กรต้องลุกขึ้นมาปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์และวิถีชีวิตแบบ New Normal โดยเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกก้าวของธุรกิจ และยังเป็นการกระตุ้นให้องค์กรต่าง ๆ เร่งปรับตัวเข้าสู่โลก Digital Transformation รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Work from Home และรูปแบบ Hybrid Workplace ที่ได้รับความนิยมอย่างมากตลอดช่วงล็อคดาวน์ที่ผ่านมาและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่ง “Smart Workspace Solution” เป็นอีกบริการด้านโซลูชันอัจฉริยะจากแคนนอนที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีให้กับธุรกิจ เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยจัดการเวิร์คโฟลว์ให้เหล่าคนทำงานทั้งที่ต้องทำงานจากที่บ้านและในสำนักงานสามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น
“หลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายกอปรกับนโยบายคลายล็อกดาวน์ จะเห็นได้ว่าหลายองค์กรต่างเริ่มมีการกำหนดแผนการดำเนินงานในรูปแบบใหม่ๆ ทั้งปรับการทำงานเป็นแบบไฮบริดที่ยืดหยุ่นให้พนักงานสามารถทำงานได้ทั้งจากที่บ้านและที่สำนักงาน บางบริษัทให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 100% หรือบางบริษัทก็ให้พนักงาน Work from Home ได้แบบ 100% ซึ่งแคนนอนมีบริการและโซลูชันรองรับการทำงานทุกรูปแบบ สามารถตอบโจทย์เทรนด์ Smart Working ได้อย่างครบวงจร โดยโซลูชันอัจฉริยะนี้จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยองค์กรในการเตรียมพร้อม ตั้งแต่การจัดเตรียมพื้นที่การทำงาน อุปกรณ์สำนักงานและเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวก ตลอดจนมาตรการและอุปกรณ์ที่ดูแลระบบความปลอดภัย เพื่อลดอุปสรรคในการทำงาน และให้พนักงานมั่นใจได้ว่าการทำงานจะเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนทุกงานก็จะสามารถดำเนินไปได้อย่าง สมาร์ท มีประสิทธิภาพ และไร้ความกังวล โดยจะพาไปพบกับโซลูชันอัจฉริยะที่จะทำให้องค์กร กลายเป็น สมาร์ท ออฟฟิศ ได้ง่ายๆ ตั้งแต่ก้าวแรกเมื่อถึงออฟฟิศของคุณ”
โซลูชันแรกที่แคนนอนนำเสนอคือระบบ Time Attendance and Access Control หลักคิดของโซลูชันนี้คือบริษัทหลายองค์กรอาจมีการติดตั้งระบบคัดกรองคนอยู่แล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญกับโรคระบาดการคัดกรองคนเข้าพื้นที่จึงต้องรัดกุมมากกว่าเดิม ซึ่งแคนนอนมีโซลูชันเทคโนโลยีอันล้ำสมัยหลายประเภทที่ครอบคลุมทุกความต้องการขององค์กร ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการข้อมูลการเข้าออกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีระบบรักษาความปลอดภัยประสิทธิภาพสูง
ฟังก์ชั่นโปรแกรมการทำงานจะแบ่งเป็นส่วน Time Attendance หรือโปรแกรมที่มาพร้อมกับระบบกล้องวงจรปิดที่เพิ่มซอร์ฟแวร์ให้มีลูกเล่นมากขึ้น ด้วยระบบบันทึกเวลาที่สามารถจับใบหน้าบุคคล และแสดงผล วัน เวลา สถานที่ที่เข้า-ออกพื้นที่ เพื่อตรวจสอบเวลาการทำงานของพนักงานแต่ละคนได้อย่างละเอียด
นอกจากนี้ยังมีส่วน Access Control เพราะจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้ทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและลดการสัมผัสให้น้อยที่สุด โดยปัจจุบันมีระบบควบคุมการเข้า-ออกพื้นที่ให้เลือกทั้งแบบ Finger Scan หรือถ้าต้องการลดการสัมผัสก็สามารถใช้แบบ Face Scan และ Face & Card Scan ซึ่งสามารถตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายขณะเดินผ่านเครื่องได้ด้วย รวมถึงส่วน Face Recognition Performance โดยหลังจากติดตั้งระบบเข้า-ออกพื้นที่แล้ว อีกเทคโนโลยีที่จำเป็นเพื่อการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและช่วยให้คัดกรองคนเข้าพื้นที่ได้ง่ายยิ่งขึ้นคือระบบจดจำใบหน้าสุดล้ำที่สามารถระบุตัวตนของผู้ที่เดินผ่าน แม้ว่าจะบุคคลนั้นจะสวมหน้ากากอนามัย แว่นตา หรือใส่หมวกก็สามารถคัดแยกใบหน้าได้ชัดเจน
โซลูชันถัดมาที่ถูกนำเสนอคือระบบ Meeting Room & Hot Desk Management Solution แคนนอนอธิบายว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้บางองค์กรต้องปรับขนาดพื้นที่องค์กรลง เพื่อพื้นที่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งโต๊ะทำงานและห้องประชุม บางบริษัทมีการลดจำนวนโต๊ะทำงานเพื่อรองรับการทำงานแบบไฮบริดและ Work from Home ที่จำนวนพนักงานเข้าออฟฟิศน้อยลง รวมถึงตอบโจทย์มาตรการเว้นระยะห่าง ในขณะที่บางบริษัทก็อนุญาตให้พนักงานเปลี่ยนโต๊ะทำงานได้ทุกวันเพื่อลดความจำเจในการทำงาน ดังนั้นจึงต้องมีระบบที่ช่วยจัดการการจองโต๊ะและห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพนักงานมากขึ้น
ฟีเจอร์หลักของโซลูชันนี้คือ Meeting Room Display & Booking เพราะปัญหานัดประชุมชนกันจะหมดไป เพราะแคนนอนมีโซลูชันอัจฉริยะที่เรียกว่า ecobook ที่จะช่วยจัดการการจองห้องประชุมให้ง่ายขึ้น โดยระบบนี้สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับ Microsoft Outlook และ Google Workspace (G Suite) ซึ่งทำให้พนักงานจองห้องประชุมผ่านออนไลน์ได้ นอกจากนี้ยังมี Room Display หน้าจอที่ติดตั้งหน้าห้องประชุมที่จะแสดงสถานะการจองห้อง ไปจนถึงสามารถจองห้องประชุมผ่านหน้าจอได้
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Hot Seat Booking & Desk Pod ผู้ใช้จะบอกลาการแย่งที่นั่งด้วยระบบจองโต๊ะจาก ecobook โดยระบบจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Desk Pod หรือ สแกน QR Code ที่ติดตั้งบนโต๊ะทำงานและแสดงสถานะของโต๊ะที่ให้พนักงานจองที่นั่งของตัวเองได้ผ่านทางออนไลน์ได้สะดวกรวดเร็ว รวมถึงฟีเจอร์ Flight Board โดยหน้าจอขนาดใหญ่ที่แสดงสถานะการใช้งานห้องประชุมและโต๊ะทำงาน รวมถึงสามารถแสดงเส้นทางสำหรับเดินไปยังห้องประชุมต่าง ๆ
อีกโซลูชันที่เด่นไม่แพ้กันคือ Interactive Display and Video Conferencing ซึ่งแคนนอนการันตีว่าทุกคนจะสามารถบอกลาปัญหาภาพกระตุก เสียงหาย เสียงไม่ชัด เพราะสำหรับการประชุมที่ราบรื่นจำเป็นต้องมีอุปกรณ์คุณภาพสูงช่วยเพื่ออำนวยความสะดวกเช่นกัน โซลูชันนี้ประกอบด้วย Interactive Display หรือหน้าจออัจฉริยะจากแบรนด์ Maxhub รุ่นต่างๆ ที่มีขนาดให้เลือกตามขนาดของห้องประชุมตั้งแต่ 55-86 นิ้ว หน้าจอติดตั้งกล้องความละเอียดสูง 12 ล้านพิกเซล และระบบเสียงคุณภาพสูง รองรับระบบปฏิบัติการ Window หรือ Android อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แท็บเลท หรือแล็ปท็อป เพื่อแสดงผลหน้าจอแบบไร้สายได้พร้อมกันถึง 4 จอ และควบคุมหน้าจอผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือ รวมถึงรองรับการติดตั้งระบบเสียงในห้องประชุมเพิ่มเติม สามารถเชื่อมต่อกับระบบเสียงจากแบรนด์ชั้นนำได้อย่างง่ายดาย อาทิ Yamaha Logitech และ Jabra การันตีภาพและเสียงชัดแจ๋วตลอดการประชุม
ในภาพรวม แคนนอนพบว่าหลังจากที่ขับเคลื่อน “Smart Workspace Solution” สิ่งที่เกิดขึ้นคือบริการทั้ง 3 โปรแกรมไฮไลท์นี้ของแคนนอนตอบโจทย์การเป็นโซลูชันอัจฉริยะ และรองรับความต้องการของหลายองค์กรได้อย่างมืออาชีพ สู่การยกระดับภาพลักษณ์ของพื้นที่ทำงานให้เป็น สมาร์ท ออฟฟิศ และสิ่งที่เราจะได้เห็นในอนาคตอันใกล้นี้ แคนนอนจะรุกตลาดแบบครบวงคร เพื่อตอบสนองทุกความต้องการไม่ว่าองค์กรต้องการอะไร แคนนอนสามารถเข้าไปตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด และรอติดตาม ฟีเจอร์ใหม่ๆ ของทางแคนนอนที่จะออกมาสร้างสีสันให้ตลาดไอทีอีกแน่นอน.