แอปเปิล (Apple) เปิดตัว iPhone 13 ใหม่อย่างเป็นทางการ ปรับปรุงจอแสดงผลรุ่น Pro รองรับ Pro Motion ให้อัตราการแสดงผลเพิ่มเป็น 120 Hz พร้อมเพิ่มความจุสูงสุด 1TB อัปเกรดกล้องให้คุณภาพดีขึ้น มีกันสั่นรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง เปิดให้สั่งจองในไทย 1 ต.ค. ก่อนขาย 8 ต.ค. รวมถึง iPad 9 iPad mini 6 และ Apple Watch 7
สำหรับ iPhone 13 แอปเปิลยังคงเลือกใช้ดีไซน์เดิมกับรุ่นก่อนหน้า แต่มี การปรับปรุงเล็กน้อย ในส่วนของกล้องหลัง iPhone 13 mini และ iPhone 13 มาจัดเรียงในแนวทแยงแทน จากเดิมที่วางกล้องอยู่ในระนาบเดียวกัน ส่วนรุ่น iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ยังคงจัดเรียงกล้องเหมือนเดิม
จุดที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการลดขนาดของ FaceID ลง 20% ทำให้รอยบากบริเวณจอแสดงผลมีขนาดเล็กลง โดยทั้ง 4 รุ่นยังมากับขนาดหน้าจอเท่าเดิม คือ iPhone 13 mini 5.4 นิ้ว และ iPhone 13 ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ทั้งคู่ใช้จอ Super Retina XDR ที่เป็น OLED เช่นเดิม
ในขณะที่ iPhone 13 Pro ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 13 Pro Max ขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว จะมากับหน้าจอ Super Retina XDR พร้อมนำเทคโนโลยี Pro Motion ช่วยให้รองรับอัตราการแสดงผล (Refresh Rate) 120 Hz ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ในเวลานี้
กล้องหลักใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini ยังคงเป็นเลนส์คู่ 12 ล้านพิกเซล คือเลนส์ไวด์ ที่นำระบบกันสั่นเช่นเดียวกับ iPhone 12 Pro มาให้ใช้งาน พร้อมเซ็นเซอร์กล้องขนาดใหญ่ขึ้น 1.7 um f/1.6 ช่วยให้รับแสงได้เพิ่มขึ้นถึง 47% และเลนส์มุมกว้าง f/2.4 ให้มุมมอง 120 องศา ระยะเลนส์ 13 มิลลิเมตร
ส่วนในรุ่น Pro และ Pro Max ที่มีมาให้ 3 เลนส์ คือเลนส์ไวด์ เซ็นเซอร์ขนาด 1.9 um ปรับรูรับแสงกว้างขึ้นเป็น f/1.5 เลนส์มุมกว้าง f/1.8 และเลนส์ซูม ระยะ 77 มิลลิเมตร ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนของระบบกันสั่นให้มีความนิ่งขึ้น เมื่อรวมกับเซ็นเซอร์ LiDAR ช่วยให้มีความแม่นยำในการโฟกัสสูง เพิ่มโหมด Cinematic ช่วยเรื่องการถ่ายวิดีโอสำหรับมืออาชีพ
กล้องหน้า TrueDepth เป็นอีกจุดที่มีการพัฒนาขึ้น จากการที่ทำให้เซ็นเซอร์ FaceID มีขนาดเล็กลง เมื่อทำงานร่วมกับกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล จะช่วยเสริมในแง่ของการถ่ายภาพ Portrait ที่ช่วยละลายหลังได้มากขึ้น และรองรับการวิดีโอคอลล์ตามยุค
ภายในมีการอัปเกรดชิปเซ็ตมาใช้ Apple A15 Bionic ที่ให้ความเร็วในการประมวลผลเร็วขึ้น เพิ่ม GPU เป็น 5 คอร์ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 5G ที่ตัวเครื่องรองรับทั้ง eSIM และนาโนซิมการ์ด WiFi 6 ตัวเครื่องยังรองรับชาร์จเร็ว 20W แต่ยังคงไม่แถมอะแดปเตอร์มาให้ในกล่องเช่นเดิม
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความจุในรุ่น Pro เป็น 1TB ทำให้ทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max จะมีตัวเลือกความจุเพิ่มเป็น 128 GB 256 GB 512 GB และ 1 TB ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท และ 42,900 บาท ขณะที่ iPhone 13 mini และ iPhone 13 ปรับความจุไปเริ่มที่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ในราคาเริ่มต้น 25,900 บาท และ 29,900 บาท ตามลำดับ
iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี คือ ชมพู น้ำเงิน ดำมิดไนท์ เงินสตาร์ไลท์ และแดง ส่วน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มากับ 4 สี คือ กราไฟต์ ทอง เงิน และสีฟ้า Sierra Blue ซึ่งเป็นสีใหม่
***iPad 9 ปรับปรุงประสิทธิภาพรับการใช้งานที่ดีขึ้น
นอกเหนือจากการเปิดตัว iPhone แอปเปิลมีการเปิดตัว iPad รุ่นที่ 9 ในดีไซน์เดิมหน้าจอ 10.2 นิ้ว โดยหันมาใช้ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic ทำให้ตัวเครื่องเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า 20% และเมื่อเทียบกับ Chrombook ที่ขายดีที่สุดในตลาดจะแรงกว่าถึง 3 เท่า และแรงกว่าแอนดรอยด์แท็บเล็ตถึง 6 เท่า ที่สำคัญยังรองรับ Apple Pencil ในการใช้งานเช่นเดิม
iPad รุ่นที่ 9 ยังมีการปรับปรุงกล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล มุมกว้าง 122 องศา พร้อมฟีเจอร์ Center Stage ที่เปิดตัวครั้งแรกพร้อม iPad Pro มาให้ใช้งานบน iPad รองรับการใช้งานทั้ง FaceTime และแอปพลิเคชันประชุมออนไลน์ รวมถึงแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ
iPad 9 รุ่น Wi-Fi จะเปิดให้สั่งซื้อในราคาเริ่มต้น 11,400 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ 16,400 บาท ในสีเงินและสีเทาสเปซเกรย์ iPad ใหม่เริ่มต้นที่ความจุ 64GB มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า และยังมีตัวเลือก 256GB วางจำหน่ายเช่นกัน
***iPad mini ทรงเดียวกับ iPad Pro
อีกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแท็บเล็ต คือ iPad mini ปรับปรุงดีไซน์ใหม่มาใช้ทรงเหลี่ยมเช่นเดียวกับใน iPad Pro และ iPad Air ในขนาดหน้าจอ Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว จากรุ่นเดิม 7.9 นิ้ว ขนาดตัวเครื่องยังพกพาง่ายเช่นเดิม ตัวเครื่องประมวลผลเร็วขึ้น 40% และประมวลผลภาพเร็วขึ้น 80% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ตัวเครื่องมาพร้อมชิปเซ็ตใหม่ Apple A15 Bionic เช่นเดียวกับใน iPhone 13 มีพอร์ต USB-C ให้ใช้งาน รองรับ Apple Pencil 2nd มีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการเชื่อมต่อ 5G
สำหรับราคาในประเทศไทย iPad mini รุ่น Wi-Fi จะเปิดให้สั่งซื้อในราคาเริ่มต้น 17,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular เริ่มต้นที่ 23,400 บาท iPad mini ใหม่ รุ่นความจุ 64GB และ 256GB มาในสีชมพู สีสตาร์ไลท์ สีม่วง และสีเทาสเปซเกรย์
***Apple Watch 7 จอใหญ่ขึ้น
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวในงานครั้งนี้คือนาฬิกาอัจฉริยะอย่าง Apple Watch รุ่นที่ 7 ให้มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น 20% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และขอบจอบางลง 40% ปรับปรุงให้ตัวเครื่องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยมาตรฐาน IP6X พร้อมพัฒนาระบบชาร์จให้เร็วขึ้น 33% สามารถชาร์จได้ 80% ภายในเวลา 45 นาที
Apple Watch 7 ตัวเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 41 มม. และ 45 มม. รุ่นเริ่มต้นวัสดุอะลูมิเนียมมีให้เลือก 5 สี ที่ใช้วัสดุอะลูมิเนียม คือสีเทาสเปซเกรย์ สีเงิน สีเขียว สีแดง และสีน้ำเงิน
ทั้งนี้ Apple Watch 7 จะวางจำหน่ายในช่วงปลายปีนี้ ในราคาเริ่มต้น 399 เหรียญ พร้อมกับยุติการจำหน่าย Watch 6 แต่ยังคงวางจำหน่าย Apple Watch 3 และ Apple Watch SE ต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกในราคาที่ประหยัดขึ้นเริ่มต้น 199 เหรียญ