xs
xsm
sm
md
lg

เสียวหมี่รายได้โตเบาๆ 64%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รวมแล้วเสียวหมี่ส่งมอบสมาร์ทโฟนกว่า 52.9 ล้านเครื่อง เพิ่มสูงขึ้น 86.8% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
เสียวหมี่รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 64 ชี้รายได้และกำไรโตขึ้นกว่าที่คาดการณ์ ยิ้มแฉ่งผลการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจสูงขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ ส่งสัญญาณเติบโตในระยะยาว ด้วยฐานะแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลก

เสียวหมี่เผยผลการดำเนินงานช่วง 3 เดือนถึง 30 มิถุนายน 2564 ว่าบริษัทมีรายได้กว่า 87.8 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรหลังการปรับปรุงอยู่ที่ 6.3 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นรายได้รวมและกำไรที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

เสียวหมี่เชื่อว่าการเติบโตทั้งหมดเป็นผลจากกลยุทธ์ ‘Smartphone x AIoT’ และในอนาคต บริษัทจะเดินหน้าไปกับกลยุทธ์แบรนด์ควบคู่ (Dual Brand Strategy) และเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง อีกทั้งจ้างงานและพัฒนากลุ่มผู้มีทักษะทั้งหลาย ตลอดจนพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย และยกระดับการให้บริการพรีเมียมสมาร์ทโฟนรวมถึงประสบการณ์ผู้ใช้งาน

“เราจะยังยึดถือกลยุทธ์หลักของเรา ‘Smartphone x AIoT’ โดยทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อพัฒนานวัตกรรมชั้นสูง รวมถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยในทุกกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ เสียวหมี่จะพัฒนาระบบการเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและสินค้า AIoT เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานอย่างสมบูรณ์ในทุกกลุ่มสินค้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนบนโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้น” แถลงการณ์ระบุ

แฟ้มภาพงานประชุมเรื่องการรักษาความเป็นส่วนตัว ที่ Xiaomi Science and Technology Park
เสียวหมี่มั่นใจว่าการส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกส่งผลให้เสียวหมี่ขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 2 โดยรายได้รวมจากการขายสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 59.1 พันล้านหยวน แสดงให้เห็นถึงอัตราการเติบโต 86.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมแล้วเสียวหมี่ส่งมอบสมาร์ทโฟนกว่า 52.9 ล้านเครื่อง เพิ่มสูงขึ้น 86.8% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และตามรายงานของ Canalys พบว่า การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกของเสียวหมี่ได้ไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไตรมาสนี้ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 16.7%

ในขณะเดียวกัน การส่งมอบสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ในประเทศจีนก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน จากการรายงานของ Canalys พบว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 16.8% จาก 10.3% เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จึงทำให้เสียวหมี่ขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับที่ 3 ด้วยการเติบโตขึ้น 35.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในด้านการส่งมอบสมาร์ทโฟน นับได้ว่าเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงที่สุดในหมู่บรรดาผู้เล่นหลักในตลาด

ในขณะเดียวกัน เสียวหมี่ยังคงดำเนินกลยุทธ์การทำแบรนด์ควบคู่ หรือ Dual Brand Strategy โดยภายใต้แบรนด์เสียวหมี่ บริษัทยังคงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม เสียวหมี่ประสบความสำเร็จอย่างมากในไตรมาสแรกของปี 2564 จากที่มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Xiaomi 11 Pro, Xiaomi 11 Ultra และ Xiaomi MIX FOLD ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเมื่อ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เสียวหมี่เปิดตัว Xiaomi MIX 4 สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีกล้องใต้จอแสดงผลอย่างเต็มรูปแบบ

จากข้อมูลของแหล่งอ้างอิงภายนอก ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ในประเทศจีน ซึ่งมีราคาวางจำหน่ายอยู่ในช่วง 3,000 หยวนถึง 4,000 หยวน และ 4,000 หยวนถึง 5,000 หยวน รวมถึงกลุ่ม 5,000 หยวนขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในครึ่งแรกของปี 2564 การส่งมอบสมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีราคาจำหน่ายมากกว่า 3,000 หยวนขึ้นไปในประเทศจีน และ 300 ยูโรหรือเทียบเท่าในตลาดต่างประเทศ ได้มีการส่งมอบไปแล้วกว่า 12 ล้านเครื่อง ซึ่งเกินกว่ายอด 10 ล้านเครื่องในปี 2563 ทั้งปีที่ได้เคยส่งมอบไป

Redmi Note 10S
แบรนด์ Redmi ยังคงมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 30 เมษายน 2564 ยอดการส่งมอบ Redmi Note Series ทั่วโลกได้ทะลุไปกว่า 200 ล้านเครื่อง แสดงให้เห็นถึงการตอบรับแบรนด์ Redmi อย่างดีจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่ รวมถึงยังสะท้อนคุณภาพที่ดีของสินค้าอีกด้วย โดยในวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เสียวหมี่ได้เปิดตัว RedmiNote 10 Series ในประเทศจีน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้งาน

ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สินค้าไลฟ์สไตล์และผลิตภัณฑ์ AIoT ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 35.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือที่ 20.7 พันล้านหยวน

ในส่วนของสมาร์ททีวี ได้มีการส่งมอบไปกว่า 2.5 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งนับได้ว่าเสียวหมี่สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดไว้ได้ จากการรายงานของ All View Cloud (“AVC”) การส่งมอบทีวีของเสียวหมี่ครองอันดับ 1 ในประเทศจีนติดกันเป็นไตรมาสที่ 10 และยังรั้งอยู่ใน 5 อันดับแรกของโลก


นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และ AIoT ของเสียวหมี่ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศ โดยรายได้จากสินค้ากลุ่มนี้ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 93.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในช่วงปีก่อน สินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดนี้มี เช่น สกูตเตอร์ไฟฟ้า สมาร์ททีวี สมาร์ทแบนด์ และสมาร์ทวอทช์ เป็นต้น

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 เสียวหมี่มีจำนวนผลิตภัณฑ์ IoT (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) กว่า 374.5 ล้านเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่กับแพลตฟอร์ม AIoT ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนของผู้ใช้งานที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ 5 เครื่องหรือมากกว่ากับแพลตฟอร์ม (ซึ่งไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) ได้แตะ 7.4 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อย สะท้อนให้เห็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 44.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือนมิถุนายนนี้เอง มีจำนวนผู้ใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ AI Assistant (“小愛同學”) เกินกว่า 100 ล้านคนเป็นครั้งแรก โดยมีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือนถึง 102 ล้านคน และจำนวนผู้ใช้งานที่เชื่อมต่อกับ Mi Home App เพิ่มขึ้นถึง 56.5 ล้านคน นับเป็นการเติบโตกว่า 38.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน

รายได้รวมจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ จำนวนผู้ใช้งานในต่างประเทศยังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 เสียวหมี่มีรายได้จากการให้บริการอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 7 พันล้านหยวน นับได้ว่าสูงเป็นประวัติการณ์และเติบโตเพิ่มขึ้น 19.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน




กำลังโหลดความคิดเห็น