Updated - Disney+ พร้อมเปิดให้บริการสตรีมมิ่งในไทยด้วยชื่อ Disney+ Hotstar โดย Hotstar เป็นบริการสตรีมมิ่งในเครือ 21st Century Fox ที่ถูกใช้เป็นกลไกขยายบริการสตรีมมิ่งสู่หลายภูมิภาคหลังจากที่ Disney ซื้อกิจการของ 21st Century Fox วันเริ่มบริการคือวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ค่าบริการ 799 บาทต่อปี โดยเอไอเอส (AIS) เป็นเสือปืนไวที่จัด ดีลพิเศษให้ลูกค้า AIS สามารถสมัครบริการ Disney+ Hotstar ในราคาพิเศษ 35 บาท/เดือน (385 บาท/ปี)
เบื้องต้น ยังไม่มีรายละเอียดการสมัครแบบครอบครัว มีเพียงข้อมูลว่าผู้ชมสามารถรับชมได้บนมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือทีวี (ต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับ) สตรีมได้ 2 เครื่องพร้อมกันต่อ 1 บัญชี เลือกความคมชัดได้ ดูได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีโฆษณาคั่น สามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในมือถือหรือแท็บเล็ตได้
______
การเปิดตัวช่องสตรีมมิ่งของดิสนีย์ “ดิสนีย์พลัส” (Disney Plus) หรือ Disney+ ในประเทศไทยนั้นเป็นจุดสนใจไม่น้อย หนึ่งในเหตุผลหลักคือบริการสมัครสมาชิกเพื่อชมรายการและภาพยนตร์ออนไลน์แบบ over-the-top (OTT) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียบ้านเรา
การเปิดตัว Disney+ ในไทยนั้นจะเกิดขึ้นหลังจากมาเลเซีย ที่ออกตัวไปแล้วเมื่อในวันที่ 1 มิถุนายน และตามหลังสิงคโปร์ ที่ Disney Plus จุดพลุไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
ก่อนหน้านี้ ดิสนีย์เคยกล่าวว่าจะเปิดให้บริการในไทยภายในกลางปีนี้ โดยสิ่งที่ทำคู่ไปด้วยการคือระงับซีรีส์ในเครือไม่มีให้บริการผ่านผู้ให้บริการ OTT ในท้องถิ่นในช่วงก่อนหน้า ขณะเดียวกัน มีการจัดตั้งพันธมิตร รวมถึงผู้ผลิตเนื้อหาในภูมิภาคเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้บริการเนื้อหาในช่วงหลายปีนับจากนี้
เช่นเดียวกับในประเทศอื่น มีความเป็นไปได้ว่าในประเทศไทยจะมีการประกาศชื่อพันธมิตรผู้ให้บริการเครือข่ายแบบสนิทแนบแน่น โดยเฉพาะการให้บริการเนื้อหาผ่านบริการอินเทอร์เน็ตโปรโตคอลทีวี (IPTV) ของผู้ให้บริการเครือข่าย เนื่องจากเน็กฟลิกซ์ (Netflix) เจ้าตลาดคนปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วในหลายประเทศ
ไทยถือเป็นตลาดใหญ่สำหรับธุรกิจให้บริการแพร่ภาพกระจายเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ OTT TV ของภูมิภาค โดยที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนคนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางออกไปยังสถานที่สาธารณะ ทั้งโรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง ร้านอาหาร สนามกีฬา รวมถึงพื้นที่สันทนาการต่างๆ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ OTT TV เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยม คาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการ OTT TV ในประเทศไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รายงานวิเคราะห์ตลาด OTT ของสำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (วส.) สำนักงาน กสทช. และข้อมูลการวิจัยล่าสุดของ Ovum บริษัทจัดเก็บวิเคราะห์ข้อมูลและบริษัทที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีจากประเทศอังกฤษ พบว่า รายได้ของผู้ประกอบกิจการ OTT TV มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ในภาพรวมของผู้ให้บริการ OTT TV ประเภทบอกรับสมาชิกในประเทศไทยจะมีมูลค่าแตะ 100 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 และอาจก้าวกระโดดถึง 181 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2567
ขณะเดียวกัน คาดว่าจำนวนผู้บอกรับสมาชิก OTT TV ในไทยจะเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ราว 200,000 ราย มาอยู่ที่ 1.52 ล้านรายในปี 2563 และอาจพุ่งสูงขึ้นถึง 2.45 ล้านรายในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ OTT TV ในปี 2558 ถึง 7 เท่าตัว โดยแนวโน้มการเติบโตดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของจำนวนผู้ชม OTT TV ทั่วโลก
สำหรับ Disney Plus นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก สถิติปัจจุบันชี้ว่ามีจำนวนสมาชิกเกิน 100 ล้านคนในช่วง 16 เดือนนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 62 ความน่าสนใจคือ Disney Plus ถูกยกให้เป็นบริการ OTT ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถแข่งกับ Netflix ได้ เนื่องจากเนื้อหาคอนเทนต์ทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่มากมาย และไม่เพียงแต่ Disney เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบริษัทในเครือ เช่น พิกซาร์ (Pixar), มาร์เวล (Marvel Entertainment), ลูคัสฟิลม์ (Lucasfilm) และเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก (National Geographic)
อิมแพกต์ที่เห็นชัดเจนคือ Disney Plus จะพร้อมให้บริการซีรีส์ละครโทรทัศน์มากกว่า 7,500 เรื่อง และภาพยนตร์กว่า 500 เรื่อง รวมถึงเนื้อหาต้นฉบับอื่นๆ โดยดีสนีย์ได้ดึงเนื้อหาออกจาก Netflix หลังจากสัญญาสิ้นสุดในปี 63 เนื้อหาที่ลดลงอย่างมากช่วงหลังทำให้ Netflix มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มเนื้อหาต้นฉบับมากขึ้น
เช่นเดียวกัน ผู้ให้บริการ OTT รายอื่นในเมืองไทย เช่น WeTV และ LINE TV ต่างก็ต้องพยายามเพิ่มความสามารถในการผลิตเนื้อหาของตัวเอง เพื่อปกป้องส่วนแบ่งจากยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่งจากต่างประเทศที่จะเข้ามาแข่งขันดุเดือด
ในส่วนของดิสนีย์ หลังจากเริ่มเปิดตัวบริการ OTT ในเดือนพฤศจิกายน 62 บริษัทขยายจากตลาดอเมริกาเหนือ จนตอนนี้ Disney Plus เปิดให้บริการในยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชีย สำหรับเอเชีย Disney Plus ตะลุยเปิดตัวในอินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทยในปีนี้