ออราเคิล (Oracle) เพิ่งหักปากกาเซียนทำสถิติรายได้ดีเกินคาดในไตรมาส 3 ปีการเงิน 2021 พลังส่วนใหญ่มาจากการเติบโตก้าวกระโดดของธุรกิจ ERP บนคลาวด์ โดยอาณาจักร Fusion Cloud ERP ของออราเคิลเติบโตขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ตัวเลขฐานลูกค้ากลมๆ คือมากกว่า 7,500 รายทั่วโลก
ความพิเศษของปรากฏการณ์นี้อยู่ที่ตลาด ERP หรือ Enterprise resource planning ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรต้องใช้เพื่อจัดการกิจกรรมประจำวันทั้งการบัญชี การจัดซื้อ การจัดการโครงการ และบริหารความเสี่ยง หลายสิบปีก่อนหน้านี้ ออราเคิลขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ ERP แบบออนพริมดั้งเดิมจนธุรกิจเป็นปึกแผ่น และไม่กี่ปีที่ผ่านมา ออราเคิลพัฒนา ERP เป็นเวอร์ชันคลาวด์หรือที่ต่างชาติเรียกว่า Cloud ERP (แต่คนไทยเรียก ERP Cloud) กลายเป็น Fusion Cloud ERP ที่ผลักดันทำให้รายรับรวมบริษัทไม่หดตัวแม้ในช่วงวิกฤต โดยรายได้รวมไตรมาสล่าสุด (ธันวาคม-กุมภาพันธ์ 2021) อยู่ที่ 10,090 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบเป็นรายปี
หนึ่งในส่วนสำคัญที่สุดของ Fusion Cloud ERP คือโมดูลการเงิน ซึ่งทำให้เทียบได้กับการเป็นซอฟต์แวร์บัญชีการเงินสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ถูกเติมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบการเรียนรู้ด้วยเครื่อง (ML) ลงไปแบบจัดเต็ม ออราเคิลมั่นใจว่าเดินหน้าธุรกิจมาถูกทางเพราะการศึกษาล่าสุดชี้ว่าผู้คนในเอเชียแปซิฟิก 79% เชื่อใจระบบอัตโนมัติอย่าง AI มากกว่ามนุษย์ในเรื่องการเงิน
นอกจากประเด็น ERP Cloud ล่าสุด ออราเคิลประเทศไทยส่งสัญญาณไม่มีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์ Oracle Cloud Infrastructure regions ในไทย เพราะวันนี้บริษัทมีทางเลือกใหม่ที่จะช่วยแก้ปัญหา “ลงทุนไม่ทัน” แล้ว และทางเลือกนั้นพร้อมให้บริการในประเทศไทยแบบไร้กังวล
***บัญชีการเงินต้องขึ้นคลาวด์-มี AI
ทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล ประเทศไทย กล่าวว่า AI วันนี้ช่วยธุรกิจได้หลายแง่มุม ทั้งลดการสูญเสีย รองรับระบบไร้สัมผัส ช่วยให้การวางแผนพยากรณ์แม่นยำ และเป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่ดี โดยเฉพาะระบบ ERP ที่มี AI และทำงานบนคลาวด์นั้นจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพตอบโจทย์ยุคนิว นอร์มัลได้ดีขึ้น
“ระบบของออราเคิลจะทำให้พนักงานไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ก็สามารถเบิกจ่ายเงินได้ หรือในช่วงใกล้สงกรานต์ ระบบจะสามารถประเมินได้แม่นยำว่าสินค้าอะไรขายดี สีใดหรือไซส์ใดที่ได้รับความนิยม องค์กรก็จะสามารถวางแผนการลงทุนได้ ทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า”
ความสามารถเหล่านี้สำคัญมากในยุคหลังโควิด-19 จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้คนทั่วไปและผู้นำองค์กรธุรกิจมากกว่า 2,500 คนในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ออราเคิลพบว่า วิกฤตโควิด-19 ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ความเศร้า และความหวาดกลัวในเรื่องการเงินมากขึ้น ทำให้ผู้คนทั่วโลกเริ่มทบทวนบทบาท และความสำคัญของทีมงานฝ่ายการเงินขององค์กร และที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล
ที่น่าสนใจคือ ผู้นำองค์กรในเอเชียแปซิฟิก 84% เชื่อใจ AI มากกว่าตัวเองในการบริหารการเงิน โดยกว่า 83% เชื่อถือระบบอัตโนมัติมากกว่าทีมงานฝ่ายการเงินเพราะเชื่อว่าหุ่นยนต์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สามารถวิเคราะห์ต้นทุน/กำไร การตรวจสอบการทุจริต และการจัดทำใบแจ้งหนี้
สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่มีการสำรวจในพื้นที่ แต่ตัวเลขแบงก์ชาติระบุว่า วันนี้ลูกค้าไทยใช้ระบบอีเปย์เมนต์เพิ่มขึ้น 151 เท่าต่อคนในปี 2020 คิดเป็นอัตราเติบโต 208% จากปี 2019 ภาวะนี้สะท้อนว่าการตัดสินใจไปที่ AI ของธุรกิจจะมีความสำคัญมาก เพราะต้องปรับตัวตามยุคที่เปลี่ยนไป ไม่เช่นนั้นธุรกิจจะอยู่ไม่ได้
ออราเคิลจึงอาสาเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจไปต่อได้ไม่ต้องกังวลเรื่องการลงทุน ผ่านเทคโนโลยีที่ออราเคิลมีเพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ โดยในไทย ลูกค้ารายใหญ่ของออราเคิลคือแบรนด์ค้าปลีกอย่าง โลตัส ประเทศไทย ซึ่งล่าสุดยักษ์ใหญ่อย่างซีพี (CP) ตัดสินใจใช้ระบบบัญชีการเงินบนคลาวด์ของออราเคิล เพื่อใช้ AI บริหารจัดการการเงินในองค์กรให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านออนไลน์ชอปปิ้ง และอีกกว่า 2,000 สาขารวมไปถึงโลตัส มาเลเซีย
“เป้าหมายของบริษัทในธุรกิจ ERP Cloud คือการเปลี่ยนให้องค์กรใหญ่ที่ใช้ระบบบัญชีการเงินของออราเคิลบนดาต้าเซ็นเตอร์ออนพรีมิสของตัวเองอยู่แล้ว หันมาใช้งานบนคลาวด์ จุดนี้เชื่อว่าหลายองค์กรจะได้ประโยชน์จากการย้ายมา ซึ่งทำได้เร็ว โดยทั่วไปใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือนก็สามารถทำงานได้ตามปกติ
***คลาวด์ไทยคึกคัก
ทวีศักดิ์ ระบุว่า ธุรกิจไทยที่จะนำคลาวด์มาใช้มากขึ้นคือค้าปลีก เนื่องจากต้องปรับตัวรองรับลูกค้าในยุคนิว นอร์มัล ปัจจัยเสริมนอกจากนี้ยังมีกระแสบริการฟู้ดเดลิเวอรีที่กระตุ้นทำให้หลายองค์กรเข้ามาให้บริการมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มธนาคารก็มีการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ให้บริการด้านการเงินผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้มีการใช้คลาวด์มากขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับหลายแอปพลิเคชันของรัฐบาลไทย ที่ผลักดันให้มีการใช้คลาวด์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ทุกอุตสาหกรรมหลักที่เกี่ยวกับนิว นอร์มัล รวมถึงทุกแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องให้ผู้ซื้อไปรับบริการที่ร้านหรือที่ศูนย์ หรือแอปที่ทำให้สถาบันการเงินให้บริการได้นอกสาขา อีกส่วนหนึ่งคือสุขภาพ กลุ่มที่แจกจ่ายวัคซีน ระบบ payment ชำระเงินออนไลน์ ทั้งหมดมีส่วนผลักดันการใช้คลาวด์ในประเทศไทย”
สำหรับกลุ่มใหม่ที่เห็นการใช้คลาวด์มากขึ้นคือกลุ่มที่เคยลังเลในอดีต ตัวอย่างเช่นกลุ่มโรงแรม ซึ่งทวีศักดิ์ เห็นการปรับตัวในธุรกิจด้านอาหารมากขึ้น
“การปรับตัวเหล่านี้แม้จะทำให้ยากลำบากเรื่องรายได้ แต่ในระยะยาว การที่ธุรกิจสนใจปรับให้มีความยืดหยุ่นและรับมือกับการจ้างพนักงานได้ดีขึ้น จะทำให้ธุรกิจสามารถไปได้ดี รับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ในอนาคต จุดนี้ทำให้เริ่มเห็นกลุ่มโรงแรมมาลงทุนในบริการคลาวด์มากขึ้น จากเดิมที่เป็นธนาคารหรือกลุ่มธุรกิจใหญ่อย่างเทลโค”
***ไร้แววตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ไทย
ทวีศักดิ์ เผยว่า การลงทุนด้านโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์คลาวด์ของออราเคิลยังเป็นไปตามแผนเดิม โดยปลายปีนี้จะเปิดให้บริการศูนย์ Oracle Cloud Infrastructure regions รวมทั้งหมด 38 แห่งทั่วโลก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่สิงคโปร์ ซึ่งถูกเลื่อนกำหนดเปิดให้บริการจากปีที่แล้วมาเป็นปีนี้
สำหรับไทย ออราเคิลวางให้ DRCC (Dedicated Region Cloud@Customer) เป็นทางเลือกในการเข้าถึงองค์กรใหญ่ที่ต้องการใช้งานพับลิกคลาวด์ของออราเคิลภายในประเทศไทย DRCC หรือ Cloud@Customer ถือเป็นไพ่เด็ดที่ออราเคิลพัฒนามาเพื่อให้ขยายธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์สู่ภูมิภาคใหม่ได้เร็วกว่าการลงทุนเช่าที่และจัดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งทำให้ไม่พลาดเม็ดเงินมูลค่าหลายพันล้านเหรียญที่กำลังรออยู่
หลักคิดของบริการ Cloud@customer คือการทำให้ฟีเจอร์ของโครงข่ายพื้นฐาน Oracle Cloud Infrastructure regions สามารถย้ายมาตั้งที่ไซต์ขององค์กร เป็นการตอบโจทย์ข้อกำหนดว่าคลาวด์จะต้องอยู่ในประเทศของธนาคารหรือหน่วยงานรัฐบาลประเทศนั้น เบื้องต้น DRCC ยังไม่มีผู้ใช้บริการในไทย แต่มีการใช้งานที่หน่วยงานออสเตรเลียและธนาคารใหญ่ของญี่ปุ่นแล้ว
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า บริการคลาวด์ด้านโครงสร้างพื้นฐานทำรายได้ให้ออราเคิลมากกว่า 2 พันล้านเหรียญต่อปี รายรับจากการใช้ Oracle Cloud Infrastructure เพิ่มขึ้น 123% ขณะที่รายได้จากฐานข้อมูลอัตโนมัติเพิ่มขึ้น 55% และรายได้จากธุรกิจ Cloud@customer เพิ่มขึ้น 200%
หากแยกตามเซกเมนต์ วันนี้ออราเคิลมีรายได้จากธุรกิจบริการคลาวด์เซอร์วิสและไลเซนส์ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 5% มูลค่ารวม 7,250 ล้านเหรียญ ในกลุ่มนี้แบ่งเป็นบริการคลาวด์ด้านแอปพลิเคชัน 2,950 ล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% และบริการคลาวด์ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทำรายได้มากกว่า 4,300 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 4% รายได้จากไลเซนส์โซลูชันคลาวด์และไลเซนส์แบบออนพรีมิส (ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตั้งในองค์กร) เพิ่มขึ้น 4% เป็น 1,280 ล้านเหรียญ แต่ธุรกิจฮาร์ดแวร์ทำรายได้ลดลง 4% เหลือ 820 ล้านเหรียญ ขณะที่ธุรกิจบริการทำรายได้ 737 ล้านเหรียญ ลดลง 5%
การถดถอยของธุรกิจเดิมทำให้ออราเคิลชูธงหลักที่โซลูชันในกลุ่ม Fusion Cloud ERP ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นทุกไตรมาส โดยล่าสุดออราเคิลทำรายได้จากการสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น 5% และรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสนี้ วันนี้รายได้จากการสมัครสมาชิกคิดเป็น 72% ของรายได้ทั้งหมดของออราเคิลทั่วโลก แม้จุดยืนของออราเคิลในตลาดคลาวด์จะแข็งแกร่งและเห็นการเติบโตที่สม่ำเสมอแต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า “ขนาดที่แท้จริงของธุรกิจฐานข้อมูลออราเคิล” จะทำให้การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจบางส่วนใช้เวลานานขึ้น
ความท้าทายจึงอยู่ที่ออราเคิลจะสามารถขยายอัตรากำไรได้หรือไม่ในช่วงที่ต้องรอให้ธุรกิจตัดสินใจเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเข็นให้องค์กรใหญ่หันไปใช้ฐานข้อมูลอัตโนมัติ Autonomous Database ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลเรือธงเวอร์ชันบนคลาวด์ หากทำได้ออราเคิลจะมีรายได้จากไลเซนส์ใหม่และบริการซัปพอร์ต และจะมีพื้นที่สำคัญที่ดันรายได้และกระแสเงินสดของออราเคิลให้เติบโตยิ่งขึ้นในอนาคต