นักวิเคราะห์หลายสำนักฟันธงแล้วว่า วิกฤตโควิด-19 จะทำให้ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของโลกต้องเผชิญต่อการตรวจสอบจากรัฐบาลนานาประเทศแบบเข้มข้นมากขึ้น เหตุผลนั้นเป็นเพราะการเร่งเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปสู่ดิจิทัลแบบก้าวกระโดดในช่วงการแพร่ระบาด ได้ทำให้ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเข้ามายึดครองวิถีชีวิตของประชากรโลกหลายพันล้านคน
รัฐบาลหลายประเทศและชาวโลกต่างยอมรับในอำนาจของ Apple, Google, Facebook และ Amazon โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่เหล่านี้มีบทบาทในทุกอย่างตั้งแต่การประชุมทางวิดีโอ ไปจนถึงการชอปปิ้งของผู้คน ซึ่งในขณะที่ซีกโลกตะวันตกคลิกไปที่บริการของยักษ์ไอทีกลุ่มนี้ ผู้ใช้ชาวจีนหลายร้อยล้านคนก็หันมาใช้ Baidu, Alibaba, Tencent หรือ Xiaomi มากขึ้นในช่วงล็อกดาวน์
ยักษ์ไอทีชื่อดังเหล่านี้กลายเป็น “ซูเปอร์สตาร์” ของระบบทุนนิยมออนไลน์ เม็ดเงินมากมายคอยหนุนจนทำให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้แข็งแกร่งจนอาจถึงระดับอยู่ยงคงกระพัน ทั้งหมดนี้สวนทางกับภาวะที่รัฐบาลหลายประเทศต้องใช้จ่ายเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่ออุ้มไม่ให้ธุรกิจแห่งชาติในประเทศต้องล้มละลาย และปมปัญหาวิกฤตการว่างงานของประชาชนในชาติที่กัดกินสังคมเข้าไปทุกที
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ มูลค่าหุ้นของบริษัทไอทีเหล่านี้ที่พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 63 หุ้นของ Facebook เพิ่มขึ้น 35% ขณะที่หุ้น Amazon ทะยานขึ้นกว่า 67% แต่ก็ยังน้อยกว่า Apple ที่หุ้นพุ่งกระฉูด 68% แม้แต่ Zoom ซึ่งเพิ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นในปี 54 ก็ยังได้สัมผัสกับภาวะราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น 600% ในปี 63 ในขณะที่มูลค่าหุ้นของ Airbnb เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในวันที่เสนอขายหุ้น IPO
ในขณะเดียวกัน แอปของจีนซึ่งเคยจำกัดอยู่ในตลาดบ้านเกิดมายาวนาน วันนี้แอปจีนกำลังแพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้ทั่วโลก ไม่เพียง TikTok แต่ยังมี SHEIN ที่บุกหนักตลาดชอปปิ้งเสื้อผ้า และแพลตฟอร์มแชร์วิดีโออื่นเช่น Likee ทั้งหมดนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
***จ่ายภาษีไม่มากพอ?
ในเมื่อการล็อกดาวน์ทำให้ยักษ์ใหญ่ดิจิทัลเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้น ผลที่ตามมาจึงเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียกร้องให้ควบคุมกลุ่มบริษัทไอทีที่ขยายตัวก้าวกระโดด ซึ่งก่อนหน้านี้ ยักษ์ใหญ่ต่างถูกเพ่งเล็งเรื่องการเข้าซื้อกิจการหลายร้อยแห่งจนไม่เหลือนวัตกรรมให้แก่บริษัทอื่น เหมือนกับที่โจเอล โตเลดาโน (Joelle Toledano) นักเศรษฐศาสตร์ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการควบคุม Google, Amazon, Facebook และ Apple เคยกล่าวว่า จนถึงปี 2017 ผลประโยชน์ในแง่นวัตกรรมจะถูกประเมินให้มีน้ำหนักมากกว่าความเสียหายทั่วไป แต่อย่างไรก็ตาม ความกังวลนี้เปลี่ยนไปเนื่องจากตอนนี้ยักษ์ใหญ่ถูกกล่าวหาว่าจ่ายภาษีไม่มากพอ ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม มีการขโมยเนื้อหาจากสื่อ และเผยแพร่ข่าวปลอม
ผลคือสหภาพยุโรปได้เปิดตัวกฎใหม่ที่ถือเป็นยาแรงซึ่งอาจตัดปีกของยักษ์ไอทีเหล่านี้ไม่ให้บินได้ไกลนัก ตั้งแต่การกำหนดขีดจำกัดในการทำตลาด การเพิ่มมาตรการบังคับใช้เพื่อปราบปรามคำพูดแสดงความเกลียดชัง และการกำหนดให้ยักษ์ไอทีโชว์ความโปร่งใสของอัลกอริธึม
ปีนี้อียูไม่ลืมบทเรียนจากความล้มเหลวในอดีต เพราะร่างกฎหมายชื่อ Digital Services Act มีการปรับให้ไม่เหลือปัญหาที่เคยมี เช่น ขั้นตอนล่าช้า ช่องโหว่ในการดำเนินการ และบทลงโทษที่อ่อนแอ โดย Digital Services Act อาจทำให้บางบริษัทต้องเผชิญต่อค่าปรับก้อนโต หรือแม้กระทั่งการแบนจากตลาดสหภาพยุโรปหากมีการละเมิด
สำหรับในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลแดนลุงแซมยังคงดำเนินการเพื่อปูทางให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมโดยหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้อง Facebook ในวันที่ 9 ธันวาคม เพื่อขอยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp ซึ่งเลติเทีย เจมส์ (Letitia James) อัยการสูงสุดของนิวยอร์กกล่าวว่าเป็นเวลาเกือบทศวรรษแล้วที่ Facebookใช้อำนาจผูกขาดตลาดเพื่อบดขยี้คู่แข่งที่มีขนาดเล็กกว่า และขัดขวางการแข่งขัน ทั้งหมดนี้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้ใช้งานประจำวันทุกคน
ในเดือนตุลาคม กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงาน 11 รัฐของสหรัฐฯ ยังได้เริ่มการดำเนินคดีกับ Google ในข้อหาผูกขาดบริการค้นหาและโฆษณาทางออนไลน์อย่างผิดกฎหมาย
***จีนก็ระอุ
ในประเทศจีน ทางการแดนมังกรก็ยังคงควบคุมเนื้อหาออนไลน์อย่างเข้มงวดตลอดเวลาหลายเดือนที่จีนเพิ่งประกาศกฎใหม่สำหรับบริการอีคอมเมิร์ซ ที่สำคัญ นักวิเคราะห์โยงการระงับการเสนอขายหุ้น IPO ระดับพระกาฬของ Ant Group เมื่อเดือนพฤศจิกายน 63 ว่าเป็นความพยายามในการควบคุมอำนาจของยักษ์ไอทีบนแผ่นดินใหญ่ ไม่ให้ Ant Group ยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินออนไลน์ซึ่งคาดว่าจะทรงพลังจนมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์นั้นยิ่งใหญ่เกินไป
และเมื่อปลายธันวาคมที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลตลาดจีนได้เริ่มคดีต่อต้านการผูกขาดกับบริษัทแม่ของ Ant อย่าง Alibaba ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานหลังจากที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกมาประกาศว่าจะปราบปราม “การขยายทุนที่ไม่เป็นธรรม” ในธุรกิจจีน
นอกจากการเพิ่มทุน ยักษ์ใหญ่ไอทียังถูกเพ่งเล็งว่าแม้จะมีการร้องเรียนจากสาธารณชนเกี่ยวกับความล้มเหลวในการควบคุมข่าวปลอมหรือคำพูดแสดงความเกลียดชัง แต่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ยังมีผลกำไรเพิ่มขึ้น เรื่องนี้เห็นได้ชัดจาก Facebook ที่แม้จะถูกคว่ำบาตรในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกรกฎาคมเพราะผู้โฆษณาหลายร้อยรายไม่เห็นด้วยที่ Facebook เมินเฉยต่อการเคลื่อนไหวของ Black Lives Matter แต่การคว่ำบาตรนี้ก็ไม่ส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจใดๆ กับ Facebook
สำหรับแพลตฟอร์มรถร่วมเดินทาง Ride-hailing อย่าง Uber และ Lyft ซึ่งปฏิเสธที่จะรับคนขับรถหลายพันคนเป็นพนักงานตามที่กฎหมายแคลิฟอร์เนียกำหนด ก็ยังสามารถโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้สนับสนุนบริษัทในการลงประชามติครั้งสำคัญในเดือนพฤศจิกายนได้สำเร็จ
และในฝรั่งเศส แม้ Amazon ถูกกล่าวหาว่าทำลายธุรกิจขนาดเล็ก เอาเปรียบพนักงาน และส่งเสริมการบริโภคมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม แต่บริษัทของ Jeff Bezos สาขาฝรั่งเศสก็ยังทำยอดขายเป็นประวัติการณ์ในช่วง Black Friday
***ระวังข้อมูล
ปี 64 จะเป็นปีที่ยักษ์ไอทีต้องพบกับแรงกระเพื่อมจากนักวิเคราะห์หลายรายที่พยายามกระตุ้นให้สังคมตื่นตัวและหวงแหนข้อมูลส่วนตัว หนึ่งในนั้นคือ เชาชานา ซูบอฟฟ์ (Shoshana Zuboff) ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยธุรกิจฮาร์วาร์ด (Harvard Business School) และผู้เขียนหนังสือเรื่อง “การเฝ้าระวังทุนนิยม” ซึ่งมักประณามการขายข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่ผู้โฆษณา เรื่องนี้ซูบอฟฟ์ แถลงต่อคณะกรรมการของรัฐสภายุโรปเมื่อปลายเดือนธันวาคม 63 ว่าการซื้อกิจการ Fitbit ผู้ผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายสวมใส่ได้ของ Google ควรถูกระงับ เพราะการรับรองของ Google เรื่องไม่ขายข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้นั้น “ไม่สามารถเชื่อถือได้”
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายแย้งว่าการโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นเรื่อง “ปกติ” ที่ Facebook, Google หรือ Twitter จะใช้ข้อมูลผู้ใช้ที่มีอยู่ในมือเพื่อแสดงโฆษณาแก่ผู้ใช้รายนั้น สิ่งที่รัฐบาลทุกประเทศควรทำจึงเป็นการเข้ามาควบคุมแพลตฟอร์ม โดยต้องระวังอย่าให้ใครเป็นแพะรับบาป เพราะบริษัทไอทีเหล่านี้เป็นบริษัทที่มีจินตนาการดีมากอย่างเหลือเชื่อ และมีการจัดการที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ แถมยังให้บริการที่มีคุณภาพสูงแบบที่โดนใจคนทั่วโลก
ที่สุดแล้ว ยักษ์ใหญ่ไอทีจะต้องพบกับมหกรรมการตรวจสอบเข้มข้นสุดๆ ในปี 64 แน่นอน