“พุทธิพงษ์” เตรียมฟ้องดำเนินคดี หลังพบมีหลายสื่อเผยแพร่และนำเสนอข่าวฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เล็งแจ้งความผู้ใช้สื่อโซเชียล หลังพบผิดกฎหมาย 3 แสน URL ย้ำไลฟ์ได้แต่ต้องไม่สื่อไปในทางที่ผิดกฎหมาย ขณะที่ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดีอีเอส สรุปตัวเลขช่วงการชุมนุมรอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 13-18 ต.ค.2563 พบมีแกนนำ นักการเมือง ผู้ใช้โซเชียลโพสต์ผิดกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตรียมทยอยส่งดำเนินคดี พร้อมเตือนประชาชนใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวัง
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการติดตามและเฝ้าระวังการสื่อสารมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่องทางสื่อโซเชียลมีเดีย หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายตามคำสั่งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ที่ 4/2563 ทั้งนี้ กรณีการตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐของสื่อ 4 แห่งตามที่เป็นข่าวนั้น ยอมรับว่าเอกสารคำสั่งของ ผบ.ตร.ที่ให้ตรวจสอบสื่อเป็นของจริง แต่จะต้องดูว่าบังคับใช้กับใครบ้าง แต่ในส่วนของกระทรวงดีอีเอสได้ติดตามทั้งสื่อและรายบุคคลอย่างระมัดระวัง และหากสิ่งใดไม่เข้าข่ายชัดเจนก็ยังไม่ส่งดำเนินคดี ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลใช้อำนาจปิดกั้นประชาชน ขอย้ำว่าไม่ได้ดำเนินคดีต่อทุกคน เพราะหากไม่เข้าข่ายความผิดหรือข้อกฎหมายก็ไม่ได้ดำเนินคดี ยืนยันไม่ได้ละเมิดสิทธิอย่างแน่นอน
“ไม่อยากให้เข้าใจผิดว่าเป็นการปิดสื่อ เพราะจอไม่ได้ดำ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะต้องเชิญช่องต่างๆ มาชี้แจงถึงการนำเสนอข่าว และให้ระมัดระวังสื่อที่ออกมา ซึ่งจริงๆ แล้วยังไม่เห็นคำสั่งครบถ้วน เบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูว่าอันไหนยุยง ชี้นำเนื้อหาผิดกฎหมายก็ดำเนินการตามขั้นตอน เพราะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย จึงจำเป็นต้องเข้มงวด”
ทั้งนี้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 ที่ผ่านมา ได้มีความพยายามสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวันนี้ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงดีอีเอส แจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่ใช้สื่อโซเชียลทุกแพลตฟอร์มที่ผิดกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 14-18 ต.ค.2563 เบื้องต้น พบผู้กระทำผิดกว่า 300,000 URL โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อระบุตัวบุคคลให้ชัดเจน เพื่อดำเนินคดีต่อไป จึงอยากเตือนประชาชนให้ใช้สื่ออย่างระมัดระวัง เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินจะมีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะห้ามยุยง ปลุกปั่นและสร้างความแตกแยก ดังนั้น หากมีการกระทำที่เข่าข่ายก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
“ท่านนายกฯ ไม่ได้กำชับอะไรมาก ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ กระทรวงดิจิทัลฯ พยายามดูให้รอบคอบไม่รังแกใคร ที่ผ่านมาทำหลายเรื่อง ทั้งเตือนการนำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จต่างๆ ที่แชร์ข้อมูลไปจำนวนมากที่ดูแล้วก็เข้าข่ายทำความผิด แต่เราก็คัดกรองอย่างรอบคอบ เอาผิดจริงๆ จะเน้นในกลุ่มที่เป็นต้นตอมากกว่าก่อน”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกระทรวงดีอีเอสจะเก็บรวบรวมหลักฐานผู้กระทำความผิด ส่วนจะใช้กฎหมายฉบับใดก็จะพิจารณาต่อไป ซึ่งหากเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็จะรายงานให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อไป ส่วนที่เข้าข่าย พ.ร.บ.คอมพ์ ก็จะดำเนินการทันที
ทั้งนี้ ยืนยันว่าดำเนินการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ส่วนกรณีที่สื่อโซเชียลระบุว่า ตนจะปิดเฟซบุ๊กต่างๆ นั้นต้องดูว่าทำได้หรือไม่ ขอดูคำสั่งอีกที ส่วนการไลฟ์ก็ทำได้ แต่ถ้าไปไลฟ์ผู้ที่พูดบนเวทีแล้วมีเนื้อหาที่หมิ่นหรือผิดกฎหมายที่กล่าวร้ายพาดพิงผู้อื่นก็จะเข้าข่ายมีความผิด แต่หากเป็นการรายงานทั่วไปก็ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร
ด้าน นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดีอีเอส กล่าวว่า ตามที่นายพุทธิพงษ์ให้นโยบายในการตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ระหว่างวันที่ 13-18 ต.ค.2563
โดยที่มีทั้งประชาชนแจ้งเข้ามา และทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งหมด 324,990 เรื่อง แบ่งเป็น Twitter 75,076 เรื่อง Facebook 245,678 เรื่อง และ Web board 4,236 เรื่อง ซึ่งรวมทั้งผู้โพสต์คนแรก และแชร์ รีทวีตข้อความที่ผิดกฎหมาย
ลำดับแรกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอาผิดเฉพาะผู้โพสต์คนแรกๆ ที่นำเข้าซึ่งข้อความสู่ระบบคอมพิวเตอร์ก่อนจำนวนหนึ่ง โดยพบว่ามีทั้งเป็นแกนนำกลุ่มมวลชน นักการเมืองและผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย คนหลักๆ อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Pavin chachavalpongpun” และทวิตเตอร์ที่พบว่าเป็นของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เพจเฟซบุ๊กของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำมวลชน รวมถึงสื่อและการรายงานสถานการณ์ทางออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ Voice TV และเพจเยาวชนปลดแอก Free Youth ที่เข้าข่ายผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ส่วนก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งให้ปิดกั้นเพจ Royalist Market Place (ตลาดหลวง) ไปแล้ว 2 ครั้ง หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือแพลตฟอร์ม ไม่ทำการปิดกั้นภายใน 15 วัน กระทรวงดีอีเอสจะดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้เอาผิดตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ต่อไป
ทั้งนี้ ฝากเตือนประชาชน ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย จะโพสต์ข้อความ ภาพสถานการณ์ใดๆ ต้องระมัดระวังไม่ให้ผิดต่อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้ติดตามและมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวการใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงผู้ที่ทำการแชร์ข้อมูล รีทวิตที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการเอาผิดทางคดีตามขั้นตอนของกฎหมายทันที และล่าสุดมีเพจที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวและบุคคลมีชื่อเสียง อาจเข้าข่ายการกระทำความผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน