“พุทธิพงษ์” ร่วมกับ กสทช. หารือผู้ให้บริการมือถือทุกราย และไอเอสพี ถึงแนวทางการดำเนินการต่อข้อมูล และเว็บไซต์ไม่เหมาะสมในช่วง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตือนผู้ใช้โซเชียลมีเดียอย่าโพสต์ข้อความที่สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (15 ต.ค.) กระทรวงดีอีเอส ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และได้เชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ (IIG) ในประเทศไทยทุกรายประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร
ในข้อกำหนดที่ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด รวมทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อกำหนดสำหรับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว หรือปกปิดข้อมูลการกระทำดังกล่าว
กระทรวงดีอีเอส และสำนักงาน กสทช. ขอกำชับให้ ISP และ IIG พึงระวังไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ ที่อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ห้ามตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้น โดยเฉพาะในส่วนของการทำให้แพร่หลายของข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และการสนับสนุนให้มีการทำให้แพร่หลายของข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และขอให้สนับสนุนการดำเนินงานของรัฐในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงนี้อย่างเต็มที่ หากพบว่าผู้ให้บริการรายใดกระทำการที่เข้าข่ายข้างต้น อาจเป็นผลให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามกฎหมาย และสำนักงาน กสทช. บังคับทางปกครองต่อ ISP และ IIG ต่อไป ซึ่งอาจเป็นผลให้มีการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้
ขณะที่ในส่วนบทบาทของกระทรวงฯ ที่ผ่านมา มุ่งแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลหรือนำเข้าข้อมูลผิดกฎหมายสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ที่เกี่ยวข้องกับสถานการ์ช่วงนี้ คือ มาตรา 14 (2), 14 (3) และมาตรา 27
ทั้งนี้ มาตรา 14 ระบุว่า ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
และ (3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
ดังนั้น เมื่อกระทรวงฯ มีคำสั่งศาลถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังไม่ดำเนินการนำข้อมูลที่ผิดกฎหมายออก มาตรา 27 ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
“การประชุมครั้งนี้ เพื่อขอความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันเฝ้าระวัง และดำเนินการต่อข้อมูลและเว็บไซต์ไม่เหมาะสม รวมทั้งให้ความร่วมมือทำการลบ/ปิดกั้นข้อมูลและเนื้อหาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือสื่อสังคมออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย ทั้งในส่วนของการละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทุกคนสามารถแสดงสิทธิเสรีภาพ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความผ่านโซเชียล เว็บไซต์ต่างๆ ขอให้กระทำด้วยความระมัดระวัง งดเผยแพร่ข้อความที่เป็นเท็จ บิดเบือนหรือข่าวปลอม รวมถึงต้องไม่ยุยง ปลุกปั่น สร้างความแตกแยกในสังคม ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ต้องไม่ละเมิดสถาบันหลักของประเทศ เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ รวมถึง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ประกาศใช้ล่าสุดด้วย
นอกเหนือจากการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ หรือตามโซเชียลมีเดียแล้ว ขอให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายติดตามการไลฟ์สดด้วย ซึ่งกระทรวงและรัฐบาลได้ติดตามและเก็บข้อมูลไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.2563 บางกลุ่มอาจมองว่าไม่มีปัญหาสามารถไลฟ์สดได้ แต่หากพบว่าการไลฟ์สดนั้นมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการตามกฎหมายทันที
ยิ่งตอนนี้ทางรัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ดังนั้น จึงขอความร่วมมือประชาชนระมัดระวังการเผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือนไม่เป็นจริง และไม่ต้องการให้มีการดำเนินคดีเกิดขึ้น จึงขอฝากให้ประชาชนระมัดระวัง เพราะมีการมอนิเตอร์ทุกชั่วโมง โดยวันที่ 16 ต.ค.2563 ตนจะรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษให้รับทราบด้วย