เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ / เอเจนซี - หลังจากการประท้วงในฮ่องกงยืดเยื้อทุกสุดสัปดาห์ เข้าสู่เดือนที่หกในเดือนพฤศจิกายนนี้ ล่าสุดเหตุการณ์ความรุนแรงไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ตรงกันข้ามกับมีรายงานความรุนแรงจากทั้งสองฝั่ง
จุดเปลี่ยนหรือจุดที่เป็นปัจจัยให้เกิดความรุนแรงของสถานการณ์มากขึ้นในเวลานี้คือ การเคลื่อนไหวของผู้ประท้วงที่เรียกว่า Operation Dawn ปฏิบัติการรุ่งสาง ยุทธศาสตร์ใหม่ของผู้ประท้วง ที่ส่งผลหนักในวันทำงานของชาวเมือง
เซาท์ไชน่ามอร์นิง โพสต์ รายงาน (12 พ.ย.) ความเห็นของผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า กลยุทธใหม่ของผู้ประท้วงในการกระจายโจมตีทั่วเมืองในวันจันทร์นั้น ส่งผลกระทบความเสียหายมากกว่าการชุมนุมก่อความรุนแรงในช่วงสุดสัปดาห์เหมือนที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า การกระทำล่าสุด - แม้ว่าอาจจะไม่ยั่งยืน - แต่ก็ก่อผลเสียหายได้มากกว่าความรุนแรงในช่วงสุดสัปดาห์อย่างเช่นที่เคยเป็นในการเคลื่อนไหวประท้วงที่ผ่านมา เพราะชาวฮ่องกงได้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ความไม่สงบ (ในวันหยุดสุดสัปดาห์) เข้ามาเป็นเดือนที่หกแล้ว
รายงานเซาท์ไชน่ามอรนิงโพสต์ กล่าวว่า ผู้ประท้วงขนานนามปฏิบัติการนี้ว่า Operation Dawn หรือปฏิบัติการตั้งแต่รุ่งสาง ระดมเรียกกันออกมาเพื่อสกัดกั้นโครงข่ายเส้นทางการจราจรในยามเช้าวันทำงานทั่วเมือง ด้วยจำนวนคนกลุ่มเล็ก ๆ หลายกลุ่ม นัดกันเวลา 6-7 โมงเช้า
เพื่อให้แน่ใจว่าจะรอดพ้นการเฝ้าระวังของตำรวจ ผู้ประท้วงจะใช้คนจำนวนน้อย และนัดประกาศรายชื่อพิกัดสถานที่ล่วงหน้าเพียงหนึ่งชั่วโมง ผ่านช่องทางการส่งข้อความที่เข้ารหัสออนไลน์ บนเว็บไซต์ ฟอรั่มสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการเสมือนจริงของการเคลื่อนไหวผู้ประท้วง เรียกร้องให้ผู้ประท้วงจัดตั้งกลุ่มไม่เกิน 20 คน กระจายกลุ่มออกมาปิดกั้นถนนยามรุ่งสาง ปฏิบัติการนี้ ก่อให้การจราจรบนถนนเป็นอัมพาต และส่งผลให้ปิดสถานีรถไฟ 32 แห่ง
ความปั่นป่วนตามท้องถนนในเช้าวันทำงาน ทำให้เกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ประท้วง ตำรวจฮ่องกงใช้กระสุนจริงยิงท้องผู้ประท้วง ขณะต่อสู้จับกุม ทำให้ผู้ประท้วงคนหนึ่งบาดเจ็บ ก่อความโกรธแค้นจนขยายผลความตึงเครียดยิ่งขึ้น
ในบ่ายวันเดียวกันชายผู้โต้เถียงกับกลุ่มก่อการจลาจลในบริเวณสถานีรถไฟหม่าออนซาน ถูกผู้ประท้วงราดด้วยของเหลวไวไฟและจุดไฟเผา โดยไฟเผาไหม้ร่างกายของเขา ราวร้อยละ 40 ขณะนี้ยังอยู่ในสภาพวิกฤติ
เหตุการณ์ที่อาจส่งผลถึงชีวิตทั้งสองถูกบันทึกภาพวิดีโอส่งต่อกันอย่างมากมาย และเสียงความเห็นของคนในสังคมออนไลน์ต่างรู้สึกตกใจและประณามผู้กระทำแตกแยกหนักขึ้น
ด้านหนึ่งสมาชิกนิติบัญญัติฝั่งประชาธิปไตย ทันย่า ชาน ได้ประณามการยิงด้วยกระสุนจริงของตำรวจ ว่าการจัดการกับเหตุการณ์ความไม่สงบในวันจันทร์ของตำรวจนั้น “ใกล้วิกลจริต” และ ใช้ความรุนแรง “เกินกว่าเหตุ”
อีกด้านหนึ่ง ความเห็นนี้ก็ถูกผู้แสดงความเห็นตอบโต้ หนึ่งในนั้นคือ อเล็กซ์ โหลว คอลัมนิสต์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ ซึ่งแสดงความเห็นว่า "ทันย่า คุณและเพื่อน ๆ ของคุณ ยังปกติดีอยู่ไหม ที่เห็นคนถูกจุดไฟเผาทั้งเป็น" หรือคุณจะคิดว่า รัฐบาลฮ่องกง กับจีนแผ่นดินใหญ่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้มากกว่าผู้ประท้วงคนที่จุดไฟ"
อเล็กซ์ โหลว ถามกลับว่า ถ้าอย่างนั้น ใครกันที่ “ใกล้วิกลจริต” และ ใช้ความรุนแรง “เกินกว่าเหตุ”
อเล็กซ์ กล่าวว่า การจุดเผาคนทั้งเป็น มันช่างน่าสยองจริงๆ ถ้ามันเกิดขึ้นในการประท้วงที่อื่น - ชิลี ฝรั่งเศสหรือสหราชอาณาจักร - มันจะมีการออกอากาศอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้าน และผู้สนับสนุนของพวกเขา กับสื่อต่างประเทศที่เป็นกระแสหลักต่างก็มีเจตนาที่จะไม่พูด ไม่ประณาม ไม่รายงานเรื่องนี้ ยังมีความคิดเห็นออนไลน์ทำให้เป็นทฤษฎีสมคบคิด อ้างว่า ชายคนนั้นเผาตัวเอง
โหลว กล่าวว่า ผู้ประท้วงก่อการจลาจลกระทำความผิดสำเร็จแล้วในข้อหาพยายามฆ่า แต่ชายที่ได้รับบาดเจ็บจะตกเป็นเหยื่อนิรนามอีกคนหนึ่ง จะไม่มีความตื่นตระหนกหรือการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเขา เลวร้ายยิ่งกว่านั้น เรื่องของเขาเป็นความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง
จับตาเมื่อความรุนแรงทวีเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยสาธารณะต้องมาก่อน!
บทบรรณาธิการของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ยังได้แสดงความคิดเห็นหลังเหตุการณ์การปะทะกันบนท้องถนนและการจราจรติดขัดมากขึ้น รัฐบาลควรพิจารณาหยุดงานและหยุดโรงเรียน เพื่อป้องกันความสูญเสียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นเดียวกับสถานการณ์ในช่วงภัยพิบัติทางธรรมชาติ
บรรณาธิการ SCMP ระบุว่า ชาวฮ่องกงทั้งคนทำงาน และนักเรียน ผู้ปกครอง กำลังเผชิญความโกลาหลใน ช่วงเวลาเร่งด่วนในวันธรรมดา ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลในความปลอดภัย
มีหลายฝ่ายพยายามหาวิธีดำเนินการตามความเหมาะสม รวมถึงความเป็นไปได้ในการหยุดงานและโรงเรียนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เนื่องจากผู้ประท้วงต้องการที่จะให้เมืองหยุดนิ่ง และรัฐบาลจะใช้กำลังเช่นนี้ มีการปะทะหลายครั้ง สองฝ่ายไม่พร้อมที่จะประนีประนอม
บทบรรณาธิการ ระบุว่าความรุนแรงเมื่อวันจันทร์ ที่ 11 พฤศจิกายน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นเรื่องยากที่จะรับประกันความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าทางการเมือง
หากมันอันตรายเกินไปหรือเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สัญจรจะเดินไปมา ประชาชนดูเหมือนจะอ่อนแอมากขึ้นเพราะความรุนแรงอาจปะทุขึ้นทุกที่ ทุกเวลา และการขนส่งมวลชนของฮ่องกงกำลังสับสนวุ่นวายเนื่องจากการประท้วง
บทบรรณาธิการแสดงความเห็นให้รัฐบาลพิจารณาในการเตรียมพร้อมในประเด็นที่ความปลอดภัยสาธารณะต้องมาก่อน
เรื่องที่น่าจับตามากที่สุดตอนนี้อาจมีจุดเปลี่ยนซึ่งเป็นทั้งจุดเปลี่ยนผ่าน และจุดเปลี่ยนพังสถานการณ์ อยู่สองเรื่อง
เรื่องแรก คือ จับตาการเปลี่ยนผู้บัญชาการตำรวจ โดยจะมีการแต่งตั้ง "คริส ถัง ผิงเคิง" (Chris Tang Ping-keung) รองผู้บัญชาการตำรวจ ขึ้นแท่นผู้บัญชาการตำรวจประจำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ มีอำนาจคุมกำลังพลกว่า 31,000 นาย รับมือสถานการณ์ความไม่สงบบนเกาะฮ่องกง แทน สตีเฟน โหลว ไวชุง ผู้บัญชาการตำรวจในปัจจุบัน ซึ่งถึงวัยเกษียณตั้งแต่ปี 2561 แต่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน เพื่อรักษาเสถียรภาพในช่วงการเปลี่ยนผ่านผู้นำตำรวจ
"คริส ถัง ผิงเคิง" ว่าที่ผู้บัญชาการฯ คนใหม่ สำเร็จการศึกษาด้านสังคมศาสตร์ ก่อนสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาโทด้านธุรกิจ และด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL - อินเตอร์โพล) และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจฮ่องกงเมื่อเดือน พ.ย. 2561
กลุ่มสนับสนุนปักกิ่งยกย่อง "คริส ถัง" ในความสุภาพอ่อนน้อมและความเด็ดขาดต่อการกระทำผิดกฎหมาย และเชื่อว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูชื่อเสียงของตำรวจฮ่องกงกลับมาได้อีกครั้ง หลังถูกโจมตีอย่างหนัก เกี่ยวกับการใช้กำลังเกินสมควรในการควบคุมการชุมนุมประท้วง และปฏิบัติต่อผู้ต้องหาอย่างไม่ถูกต้องภายหลังการถูกจับกุม
เรื่องที่สองที่ต้องจับตาจุดเปลี่ยน คือ ฮ่องกงเตรียมเพิ่มกำลังพลปราบจลาจล จากหน่วยผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของเรือนจำ ประมาณ 80 คน จะเข้ารับภาริกจการเฝ้าระวังสถานที่สำคัญในฮ่องกง เพื่อลดภาระของกองกำลังตำรวจ ซึ่งเผชิญขีดจำกัดกับการปฏิบัติงานยืดเยื้อยาวนาน
หัวหน้าผู้บริหารแคร์รี่ ลัม คาดว่าในสัปดาห์นี้จะประกาศการเพิ่มกำลังพลฯ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาภายใต้กฎหมายมหาชนที่อนุญาตให้เธอมอบหมายให้ข้าราชการตำรวจแต่งตั้ง "ตำรวจพิเศษ"
แหล่งข่าวตำรวจอาวุโสกล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจ สตีเฟ่น โหลว ไวชุง กำลังเตรียมแต่งตั้งหน่วยกำลังใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากหน่วยเผชิญเหตุที่เกี่ยวข้องกับการจลาจลในเรือนจำ และจะช่วยปกป้องสถานที่สำคัญในเมือง
ข่าวนี้ สร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ไม่น้อย แหล่งข่าวตำรวจกล่าวว่า“ ตำรวจ 80 นายจะถูกคัดเลือกโดยความสมัครใจจากกรมราชทัณฑ์ ส่วนใหญ่มาจากทีมตอบโต้ชั้นยอดซึ่งได้รับการฝึกฝนให้รับมือกับการจลาจลในเรือนจำ”
แหล่งข่าวกล่าวว่า “ ข้อตกลงดังกล่าว จะช่วยให้ตำรวจสามารถสำรองกำลังคนมากขึ้นสำหรับการเผชิญภารกิจแนวหน้า”