“มรกต” เผยวิสัยทัศน์ ทีโอทีครึ่งปีหลัง ปรับเกมรับโควิด-19 ปั้นรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ ชูจุดแข็งสร้างโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ลดการแข่งขันเอกชน จับมือลดข้อพิพาท ทำงานเป็นพันธมิตรมุ่งลดต้นทุนการดำเนินงาน คาดสิ้นปีกำไรหรือขาดทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท
นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เผยวิสัยทัศน์ หลังจากเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทีโอที ยังคงต้องรักษาความเข้มแข็งของธุรกิจหลัก และสร้างธุรกิจใหม่ให้เติบโต โดยมุ่งหวังที่จะให้ ทีโอที เป็นผู้นำด้านบริการโทรคมนาคมและบริการดิจิทัลที่มุ่งตอบสนองยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคม ยุคดิจิทัลให้เข้มแข็ง นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล มายกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหารายได้เพื่อเข้ามาทดแทนส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แม้ว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการครึ่งปีแรกมากนัก ซึ่งผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2563 ทีโอทีมีรายได้จากการดำเนินงาน 10,159 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อน 1,500 ล้านบาท และ รายได้จากพันธมิตร 16,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อน 1,500 ล้านบาท
แต่ผลกระทบจากโควิด-19 เริ่มแสดงผลกระทบต่อลูกค้าของทีโอทีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดขนาดองค์กร การลดต้นทุนทำให้ทีโอทีต้องดำเนินการช่วยเหลือลูกค้าด้วย เช่น การยกเว้นค่าเช่าร้านในทีโอที การให้ส่วนลดหรือมีโปรโมชันช่วยลูกค้า ดังนั้นทีโอทีต้องยอมรับความจริงและมีการปรับประมาณการกำไรปีนี้ใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรกว่า1,000 ล้านบาท เหลือกำไรหลัก 100 ล้านบาท หรือหากจะขาดทุนก็ไม่เกินหลัก 100 ล้านบาท เช่นกัน
เมื่อมองเห็นว่าผลกระทบจากโควิด-19 น่าจะยังไม่จบเพราะไม่รู้ว่าจะมีวัคซีนเมื่อไหร่ ทีโอทีก็ต้องยอมรับว่ารายได้ที่คาดว่าจะได้ต้องหายไปอย่างแน่นอนจากการที่ลูกค้าเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว ดังนั้นจึงต้องหาทางสร้างรายได้ใหม่ที่คาดว่าจะทำได้ ควบคู่กับการลดต้นทุนด้วยการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่จำเป็นน้อยที่สุด 15% และพยายามลดหรือหาข้อยุติคดีและข้อพิพาทด้วยการจับมือกับคู่แข่งให้กลายเป็นพันธมิตร ธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งกับเอกชนได้ ก็เปลี่ยนเป็นการจับมือเป็นพันธมิตรและอาสาเป็นตัวกลางในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานกลางเพื่อให้มีการใช้งานร่วมกันเพื่อลดการลงทุนซ้ำซ้อน
ทั้งนี้ ทีโอที มีนโยบายและเป้าหมายการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ที่ต้องเร่งดำเนินการอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ ประเด็นแรก การสร้างรายได้ ด้วยการนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งทางด้านบริการ ไม่ว่าจะเป็น TOT Fixed Line, TOT Mobile, TOT Fiber 2U และการเพิ่มรายได้จากท่อร้อยสาย โดยเร่งรัดให้ผู้ประกอบการนำสายเคเบิลลงดินตามนโยบายรัฐ ซึ่ง ทีโอที มีเป้าหมายที่จะนำสายสื่อสารลงท่อร้อยสายใต้ดินจำนวน 12 เส้นทางในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. 2563
ประเด็นที่ 2 คือ การพัฒนาองค์กร ในการควบรวมกิจการ ทีโอที กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที ซึ่งต้องผลักดันให้สามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเอ็นทีได้ภายในเดือน ม.ค. 2564 ตามมติคณะรัฐมนตรี ( ครม. ) ด้วยการสร้างความสามัคคี ปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความเสมอภาค และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิประโยชน์ของพนักงานและคงสิทธิประโยชน์ขององค์กรตามกฎหมายให้มากที่สุด
ประเด็นที่ 3 ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การพัฒนาบริการ เช่น การให้บริการ 5G โดยเริ่มให้บริการ Fixed Wireless Broadband ในพื้นที่ทดสอบ เช่นอาคารสูง ในพื้นที่ห่างไกลที่มีต้นทุนการวางสายสูง และการพัฒนาบริการดิจิทัลด้วยการเพิ่มความสามารถ และการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ดาวเทียมวงโคจรต่ำ เพื่อรองรับการใช้เทคโนโลยี5G ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และด้วยศักยภาพของ ทีโอที ที่มีความพร้อมในการก้าวเป็นผู้นำเทคโนโลยีอวกาศ จึงได้เตรียมพร้อมในการพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอากาศและการเจรจากับพันธมิตรธุรกิจระบบดาวเทียม เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเครือข่ายระบบดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคนไทยทั้งประเทศในการปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ