แนวโน้มตลาดพีซี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นจุดที่ตลาดอิ่มตัวแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยพุ่งขึ้นไปถึงปีละเกือบ 4 ล้านเครื่อง แต่เมื่อเจอผลกระทบจากการมาของแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ทำให้ยอดมีการปรับลดลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับตลาดเครื่องทดแทนที่ผู้บริโภคใช้งานนานขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพของเครื่องในระยะหลังๆดีขึ้นมากทั้งเดสก์ท็อป และโน้ตบุ๊ก
หนึ่งในปัจจัยบวกที่สำคัญช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือเรื่องของตลาดอีสปอร์ต ที่ในกลุ่มธุรกิจพีซีได้รับแรงกระตุ้นไปด้วย เห็นได้ชัดเจนจากราคาเฉลี่ยเครื่องพีซีที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจำนวนเครื่องจะไม่ได้เติบโตขึ้นก็ตาม และคาดว่าแนวโน้มของตลาดพีซีในปีหน้าก็จะไม่แตกต่างจากปีนี้มากนัก
เอเซอร์ ถือเป็นหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ยังสามารถปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาการเป็นแบรนด์พีซีเบอร์ 1 ในประเทศไทย แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะเจอแบรนด์รองเร่งเครื่องลดช่องว่างส่วนแบ่งตลาดตามขึ้นมาก็ตาม แต่จากแผนที่เอเซอร์ เตรียมไว้บุกตลาดในปีหน้า เชื่อว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างแน่นอน
ข้อมูลล่าสุดจากไอดีซี ระบุว่า จำนวนยอดขายพีซีในปีนี้รวมๆ แล้วน่าจะอยู่ที่ราว 2.35 – 2.4 ล้านเครื่อง โดยแบ่งเป็นเดสก์ท็อป และโน้ตบุ๊กอย่างละครึ่ง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และประเมินว่าในปีหน้าตลาดพีซีก็จะใกล้เคียงกับในปีนี้เช่นกัน โดยปัจจุบัน เอเซอร์ ถือครองส่วนแบ่งในตลาดพีซีราว 21% ส่วนคู่แข่ง 3 แบรนด์หลักคือ เลอโนโว เอชพี และ เดลล์ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่รายละ 14-16% แต่ถ้ามองเฉพาะในตลาดโน้ตบุ๊ก เอเซอร์ ครองส่วนแบ่งอยู่ 28% ตามด้วยเอซุส เลอโนโว และเอชพี ที่มีส่วนแบ่งตลาด 21% 18% และ 14% ตามลำดับ
แม้ว่าจำนวนเครื่องจะไม่ได้เติบโตแล้ว แต่ว่าในส่วนของมูลค่าตลาดของพีซี ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ แม้จะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เกมมิ่งทั้งหลาย รวมถึงโน้ตบุ๊กบางเบา ที่ยังได้รับความนิยมต่อเนื่อง และอีกเทรนด์ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นคือผู้ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อนำไปใช้ทำงาน
***ปีแห่งการแบ่งกลุ่มลูกค้า
นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวถึงแนวทางของเอเซอร์ในการทำตลาดปี 2562 คือหันไปโฟกัสกับตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เพราะช่วยให้ตลาดมีมูลค่าที่เติบโตขึ้น อย่างที่ผ่านมาเอเซอร์ ได้มีการแนะนำไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จับกลุ่มครีเอเตอร์ ในรูปแบบของการเป็นเวิร์กสเตชั่นมากขึ้น ภายใต้ซีรีส์อย่าง Concept D
ต่อเนื่องด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Thin & Light หรือโน้ตบุ๊กบางเบา ที่ในช่วงที่ผ่านมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมหลากหลายราคามากขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Swift ส่วนกลุ่มเกมเมอร์ ก็จะรักษาฐานลูกค้าของพรีเดเตอร์ และ G ซีรีส์ ด้วยการนำผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงคุ้มราคาเข้ามาทำตลาด
'ยุคหน้าการทำตลาดพีซีจะต้องทำเซกเมนต์เทชั่นมากขึ้น เพราะตอนนี้ลูกค้าที่ซื้อโน้ตบุ๊กใช้งานเป็นเครื่องแรก ที่ต้องการเครื่องราคาถูกเริ่มลดน้อยลง ทำให้กำลังซื้อหลักกลายเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือพกพาง่ายขึ้น และแน่นอนว่าราคาต้องคุ้มค่าด้วย'
ประกอบกับที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้าหลักๆ ในตลาดพีซีส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม Gen Y แต่ในปีหน้า หรือปีถัดๆ ไป กลุ่มลูกค้าที่เริ่มจับจ่ายมากขึ้นจะกลายเป็น Gen Z หรือเด็กรุ่นใหม่ ทำให้ผลิตภัณฑ์ต้องมีการปรับให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนี้มากขึ้น และแน่นอนว่ายังมีการทำตลาดด้วยการเข้าไปร่วมทำกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่องปัจจุบันสัดส่วนการจำหน่ายโน้ตบุ๊กของเอเซอร์ในเชิงมูลค่า กว่า 70% มาจากกลุ่มของ Aspire และ Thin & Light อย่างละ 35% ส่วนเกมมิ่งอยู่ที่ราว 30% แต่เชื่อว่าในปีหน้าสัดส่วนของ Thin & Light และ เกมมิ่งมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างละ 40% รับกับกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่
สำหรับนิยามเครื่อง Thin & Light ที่ทางบริษัทวิจัยการตลาด จีเอฟเค กำหนดไว้ คือโน้ตบุ๊กที่เครื่องมีขนาดบางกว่า 2 เซนติเมตร ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการพัฒนาจอแสดงผลแบบใหม่ที่มีขอบจอบางลง จึงได้เห็นเครื่องจอ 14 นิ้ว ในขนาดตัวเครื่อง 13 นิ้ว เพิ่มมากขึ้น
นอกเหนือจากในกลุ่มพีซีแล้ว อุปกรณ์เสริมสำหรับเกม ถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจสำหรับเอเซอร์ โดยเฉพาะจอมอนิเตอร์สำหรับเกมมิ่ง ที่ปัจจุบันซีรีส์พรีเดเตอร์ครองส่วนแบ่งตลาดราว 30% และมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีก ซึ่งในปีหน้าจะมีการทำราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้บริโภค
'เหตุผลที่เอเซอร์เน้นนำอุปกรณ์เสริมเกมมิ่งเข้ามาทำตลาดด้วยเนื่องจากมองว่า มีโอกาสที่จะเข้าไปแย่งชิงส่วนแบ่งจากกลุ่มผู้ใช้งานเดสก์ท็อปเครื่องประกอบที่มีสัดส่วนราว 70% ของตลาด ซึ่งแบรนด์พีซีไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ ดังนั้นการส่งอุปกรณ์เสริมเหล่านี้เข้าไปจะช่วยให้เกิดการสร้างรายได้เพิ่มเติม'
***ทำระบบเอื้อขายออนไลน์
อีกสิ่งที่เอเซอร์ มีแผนจะเร่งปรับปรุงภายในช่วงต้นปี 2562 คือการทำระบบหลังบ้านให้รองรับการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากพันธมิตรร้านค้าปลีกไอที หรือผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซในตลาด สามารถเชื่อมต่อระบบเข้ามาบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น
เนื่องจาก ในตอนนี้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์จะมีสัดส่วนอยู่ราว 6-7% เท่านั้น เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดที่ราว 10% ดังนั้น คาดว่าเมื่อระบบพร้อม จะช่วยให้ร้านค้าสามารถทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกัน เอเซอร์ สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายได้
'การเพิ่มช่องทางออนไลน์ จะช่วยให้เอเซอร์สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์เจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานได้ จากการปรับสเปกให้หลากหลาย ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการจำหน่ายผ่านหน้าร้านไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด'
***ฝากความหวังไลน์ซีพียู AMD
ในส่วนของการแข่งขันในตลาดหน่วยประมวลผล ที่ปัจจุบัน เอเอ็มดี (AMD) ทำได้ดีขึ้น จากการชูจุดเด่นในเรื่องของประสิทธิภาพ และราคา ทำให้ทางเอเซอร์ต้องมีการปรับพอร์ตสินค้าใหม่ ด้วยการนำซีพียู AMD เข้ามาทำตลาดมากขึ้น เนื่องจากปัจจจุบันคู่แข่งทุกรายต่างเร่งนำโน้ตบุ๊กรุ่นที่รองรับ AMD เข้ามาแข่งขันทางด้านราคา
เอเซอร์ ยอมรับว่า ปีนี้ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ซีพียูของ AMD ยังมีจำนวนไม่มากเท่าที่ควร เพราะทางเอเซอร์ อยู่ในช่วงระหว่างการวิจัย และพัฒนาร่วมกัน เพื่อดึงประสิทธิภาพของ AMD ให้ออกมาดีที่สุด เพราะที่ผ่านมาได้รับฟีดแบคจากผู้ผลิตรายอื่นที่เร่งนำ AMD ออกมาใช้แล้วตัวเครื่องยังไม่รองรับการทำงานอยู่หลายครั้ง ทำให้ต้องมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อแก้ไขปัญหา
ดังนั้น ในปี 2563 เอเซอร์ จึงอยู่ในช่วงที่พร้อมจะนำโน้ตบุ๊กที่ใช้ซีพียูของ AMD เข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของ Thin & Light ระดับไฮเอนด์ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันรุ่นที่บางที่สุดอย่าง Swift 7 ราคายังสูงอยู่ในระดับ 4 หมื่นบาท แต่ถ้าปรับมาใช้ AMD อาจจะทำราคาได้ในระดับ 3 หมื่นบาท ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นด้วย