xs
xsm
sm
md
lg

ไม่เพิ่มไม่ลด! LINE ScaleUp 2020 งบอัดฉีดสตาร์ทอัปไทยปีหน้า 20 ล้านดอลล์เท่าเดิม

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เจเดน คัง ระบุว่า LINE ScaleUp 2020 ในปีหน้าจะเน้นการดำเนินงาน 2 รูปแบบ ทั้งงานช่วยดันสตาร์ทอัปไทยให้ขยายตัวและงานยกระดับแพลตฟอร์มเพื่อดึงสตาร์ทอัปต่างประเทศเข้ามาเจาะตลาดไทย

เปิดแผนโครงการไลน์สเกลอัป “LINE ScaleUp 2020” ปีหน้าลุย 2 ขาทั้งงานช่วยดันสตาร์ทอัปไทยให้ขยายตัวและงานยกระดับแพลตฟอร์มเพื่อดึงสตาร์ทอัปต่างประเทศเข้ามาเจาะตลาดไทย ยึด 3 เสาหลักคือการสนับสนุนด้านเทคนิก จัดทริปพาสตาร์ทอัปเปิดโลก และการอัดฉีดทุนให้ทั่วถึง แย้มงบลงทุนสตาร์ทอัปไทยจาก LINE Ventures ในปี 2020 จะยังอยู่ระดับคงที่เมื่อเทียบกับปีนี้ที่ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่เพียงพอต่อการผลักดันสตาร์ทอัปไทยสู่ยูนิคอร์น


เจเดน คัง รองประธานกรรมการฝ่ายกลยุทธ์ LINE ประเทศไทย เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานโครงการ LINE ScaleUp 2020 ในปีหน้าว่างบการลงทุนของไลน์เวนเจอร์ส (LINE Ventures) กลุ่มทุนเครือ LINE ในตลาดสตาร์ทอัปไทยอาจจะคงที่ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขเดิมของปี 2019 เหตุผลเพราะมูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนลด 20% ของงบการลงทุนรวมในสตาร์ทอัปไทยทั้งประเทศ จึงเชื่อว่าสัดส่วนการลงทุนนี้เพียงพอต่อสตาร์ทอัปไทยในการขยายตัว


“20 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็น 20% ของมูลค่าการลงทุนในสตาร์ทอัปไทยปีนี้คือ 110 ล้านเหรียญสหรัฐ เชื่อว่ามูลค่าการลงทุนนี้จะอยู่ในระดับที่ไม่ต่างกันมากในปีหน้า”

เจเดน คัง รองประธานกรรมการฝ่ายกลยุทธ์ LINE ประเทศไทย ระบุว่ามีผู้สมัครโครงการ LINE ScaleUp 2019 มากกว่า 100 ราย
มูลค่าการลงทุนในสตาร์ทอัปไทยปี 2019 ถือว่าต่ำกว่าประเทศโซนเดียวกันอย่างไม่เห็นฝุ่น แม้การลงทุนในสตาร์ทอัปไทยจะโตจาก 88 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 มาเป็น 110 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ แต่ก็เทียบไม่ได้กับเวียดนามที่เม็ดเงินลงทุนเติบโตจาก 192 ล้านเหรียญสหรัฐมาเป็น 263 ล้านเหรียญในปี 2019 ขณะที่อินโดนีเซียนั้นมียอดเงินลงทุนลดลงจาก 3,296 ล้านเหรียญในปี 2018 เป็น 2,437 ล้านเหรียญในปี 2019

มูลค่าการลงทุนในสตาร์ทอัปไทยปี 2019 ถือว่าต่ำกว่าประเทศโซนเดียวกันอย่างไม่เห็นฝุ่น

แม้มูลค่าการลงทุนในสตาร์ทอัปไทยจะน้อยนิด แต่ผู้บริหารไลน์เชื่อว่าการแข่งขันในตลาดสตาร์ทอัปไทยปีหน้าจะเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากสตาร์ทอัปไทยจะเริ่มได้ประโยชน์จากการใช้งานแพลตฟอร์ม LINE อย่างเป็นรูปธรรม และการลงทุนจาก LINE จะเป็นแรงผลักดันให้สตาร์ทอัปไทยสามารถขยายตัวได้ตามแผนที่วางไว้ จนอาจเป็นยูนิคอร์นหรือบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐได้ในปีหน้า ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่เชื่อว่าจะต้องใช้เวลา 3-5 ปีในการดันสตาร์ทอัปไทยเป็นยูนิคอร์นสำเร็จ


เบื้องต้น ผู้บริหารยอมรับว่ามีการตั้ง KPI ในรูปแผนดำเนินงานของสตาร์ทอัปแต่ละราย หลายรายเช่นฟินโนนีม่า (Finnonema) ที่ตั้งเป้าว่าจะใช้ช่องทางไลน์ทีวี (LINE TV) และไลน์ทูเดย์ (LINE Today) ในการเสนอคอนเทนต์ด้านการเงินแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ก็สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นบน LINE ขณะเดียวกัน Finnonema ยังใช้ช่องทางใหม่ LINE Mini App เป็นเครื่องมือเผยแพร่แอปได้ตามแผนทั้งหมดที่วางไว้ ทั้งหมดนี้จะเสริมบรรยากาศการลงทุนในสตาร์ทอัปไทยช่วงปีหน้าให้ยังน่าสนใจเช่นเดียวกับปีนี้

เจเดน คัง อธิบายความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างสตาร์ทอัปทั้ง 6 ทีม กับไลน์

สำหรับโค้งสุดท้ายของปีนี้ LINE ScaleUp 2019 โดย LINE ประเทศไทย จัดกิจกรรม Demo Day ต่อยอดความสำเร็จให้ 6 สตาร์ทอัปที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้นำเสนอผลงานต่อหน้านักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ (รวม LINE Ventures) โดยโชว์ศักยภาพการนำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของ LINE มาต่อยอดธุรกิจเพื่อผลักดันสู่สตาร์ทอัปชั้นนำและเป็นยูนิคอร์นสัญชาติไทยตัวแรก


6 สตาร์ทอัปได้แก่ Choco CRM, Claimdi, FINNOMENA, Gowabi, Seekster และ Tellscore จะได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ LINE เดินหน้าพัฒนาความร่วมมือเชิงพาณิชย์ หลังจากผ่านการพัฒนาโดยหลักสูตรโค้ชเชิงเข้มข้นจาก LINE ScaleUp camp มาอย่างต่อเนื่อง 4 เดือนเต็ม ทั้งในรูปแบบการอบรม เวิร์คชอป และดูงานสตาร์ทอัปยูนิคอร์นในประเทศเกาหลีใต้ซึ่งครอบคลุมความรู้ด้านการดำเนินธุรกิจ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงภายใต้แพลตฟอร์ม LINE และการบริหารงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ


งานนี้ LINE ประกาศเปิดตัวช่องทางใหม่ชื่อมินิแอป (Mini App) บน LINE ที่มีจุดเด่นเรื่องการเผยแพร่แอปผ่านระบบแชต โดยเปิดให้ Seekster และ Finnomena ประเดิมใช้งานเพื่อให้ผู้ใช้ LINE สามารถเข้าถึงและเข้าใช้บริการของทั้ง 2 สตาร์ทอัปอย่างเต็มรูปแบบได้ทันที ทั้งหมดนี้ งาน Demo Day ถูกมองเป็นวันประกาศศักยภาพของ 6 สตาร์ทอัปไทย จากทั้งหมด 36 รายที่อยู่ในระดับซีรีส์ A ที่ใช้เงินลงทุน 2 – 15 ล้านเหรียญสหรัฐ

36 สตาร์ทอัปไทยระดับระดับซีรีส์ A ถือว่าต่ำกว่าอินโดนีเซียที่มีจำนวน 101 ราย และเวียดนามที่มี 52 ราย

หากเทียบกับเพื่อนบ้าน 36 สตาร์ทอัปไทยระดับระดับซีรีส์ A ถือว่าต่ำกว่าอินโดนีเซียที่มีจำนวน 101 ราย และเวียดนามที่มี 52 ราย สาเหตุหลักที่ LINE มองเห็นคือ 1) ข้อจำกัดด้านบุคลากร (Talent) ซึ่งหันไปทำงานกับบริษัทใหญ่มากกว่าคิดจะตั้งบริษัทของตัวเอง และ 2) แรงขับเคลื่อนด้านเงินทุน (Funding) ที่ยังมีน้อย กลายเป็น 2 โจทย์ใหญ่คือทำอย่างไรให้คนไทยคิดอยากสร้างสตาร์ทอัปของตัวเอง และวิธีใดจึงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้วางเดิมพันในตลาดไทยบ้าง


“งาน Demo Day ในวันนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญครั้งใหญ่ที่ 6 ทีมสตาร์ทอัปที่เรามองเห็นถึงโอกาสการเติบโตสู่ยูนิคอร์น ได้แสดงศักยภาพสู่สายตานักลงทุนระดับสากลอย่างแท้จริง โดยโปรเจค LINE ScaleUp ในปีหน้า เราจะยังคงมุ่งผลักดันสองส่วนนี้เป็นหลักสำคัญ เพื่อสร้างรากฐานให้สตาร์ทอัปไทยมีประสิทธิภาพและแข็งแกร่งกว่าเดิม ด้วยการนำเทคโนโลยีและเครือข่ายทางธุรกิจที่เรามี มาช่วยยกระดับในการพัฒนาธุรกิจของสตาร์ทอัปและธุรกิจของประเทศ โดยเราเชื่อว่าสตาร์ทอัปไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลต่อ GDP ประเทศไทย ให้เติบโตขึ้นถึง 2 เท่าภายในปี 2025 สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุค 4.0"


ปัจจุบัน ฐานลูกค้าของ LINE ในประเทศไทยมีจำนวน 44 ล้านคน สรุปได้ว่า 90% ของคนไทยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือใช้ LINE ทุกวัน เป็นเวลานานเฉลี่ย 216 นาทีต่อวัน ขณะที่ LINE Ventures จะแบ่งการลงทุนออกเป็น 3 กอง สำหรับตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และทั่วโลก สถิติล่าสุดคือมีการลงทุนไปแล้ว 48 สตาร์ทอัป.

สตาร์ทอัปไทยจะได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ LINE เดินหน้าพัฒนาความร่วมมือเชิงพาณิชย์


กำลังโหลดความคิดเห็น