ตัวเลขการซื้อขายหุ้นในตลาดแนสแดค พุ่งแรงสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่างอัลฟาเบ็ต (Alphabet) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศผลประกอบการสวยงามเพิ่มขึ้นสู่ระดับที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ที่โดดเด่นคือบริษัทแม่ของกูเกิล ที่ทำรายได้รวมทะลุ 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
หุ้นของ Alphabet นั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 4.2% เป็น 1,261.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น ผลจากนักลงทุนที่เชื่อมั่นในบริษัท เพราะผลประกอบการประจำไตรมาสที่ทำรายได้รวมเพิ่มขึ้นมากว่า 26% เบ็ดเสร็จแล้วรายได้รวม 3 เดือนคือ 32,657 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นกำไร 8,266 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขกำไรของ Alphabet ถือว่ายังไม่แน่นอน เพราะหากหักค่าปรับตามคำสั่งของคณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EU กำไรของบริษัทจะลดเหลือ 3,195 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จุดนี้ยังต้องรอบทสรุปเนื่องจาก Alphabet อยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์
ผลประกอบการสวยงามส่งผลบวกให้หุ้นเฟซบุ๊ก (Facebook) ด้วย แม้จะยังไม่ประกาศผลประกอบการ แต่ก็ร้อนแรงเพราะมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น 2.2% สูงกว่าไมโครซอฟท์ ที่หุ้นเพิ่มขึ้น 0.4%
ไมโครซอฟท์ ระบุว่า ช่วงเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 17% รวมเป็น 30,085 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คำนวณกำไรได้ 8,873 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จุดนี้ไมโครซอฟท์ ภูมิใจมากเพราะถือเป็นไตรมาสแรกที่บริษัททำรายได้ทะลุ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่รายได้ของไมโครซอฟท์ พุ่งทะยานเช่นนี้
ไมโครซอฟท์ ให้ข้อมูลว่า วันนี้บริการโปรแกรมออฟฟิศออนไลน์ Office 365 มีผู้ใช้งานมากกว่า 31.4 ล้านคนทั่วโลก โดยรายได้ของบริการคลาวด์อย่างอาซัวร์ (Azure) เติบโตสูง 89% ขณะที่รายได้จากธุรกิจเกมเติบโต 39% เช่นเดียวกับรายได้จากฮาร์ดแวร์ส่วนบุคคลอย่าง Surface ที่เติบโต 25%
สถานการณ์บวกทำให้อะเมซอน (Amazon) ได้รับอานิสงส์มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น 1.7% ยังมีแอปเปิล (Apple) ที่มูลค่าหุ้นเพิ่ม 1.2% ตอกย้ำว่าทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) กลับสถานการณ์หุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ผลจากการเติบโตไม่หวือหวาเท่าที่คาดการณ์ โดยแม้ Netflix จะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 40.3% แตะระดับ 3,907 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จำนวนผู้ใช้บริการวิดีโอออนไลน์ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ คือ 130.14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.15 ล้านคนจากไตรมาสก่อนหน้า น้อยกว่าเป้าหมาย 6.2 ล้านคนที่ Netflix ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น Netflix เกิดขึ้นหลังจากราคาหุ้นตกต่ำลง 14% หลังรายงานผลการดำเนินงานเมื่อกลางกรกฎาคมที่ผ่านมา.