“ฟิตบิท” มั่นใจการขยายตลาดสู่สมาร์ทวอตช์ และสายรัดข้อมือสำหรับเด็ก จะช่วยให้สามารถรักษาอัตราการเติบโตในตลาดอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพได้ไม่ต่ำกว่า 25% พร้อมนำเสนอ 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ Fitbit Versa ที่ชูเรื่องการตรวจจับรอบเดือนสำหรับสุภาพสตรี และ Fitbit Ace ให้เยาวชนได้ใช้งาน
หลุยส์ ลายย์ ผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิตบิท กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของฟิตบิทในปัจจุบันว่า สามารถจำหน่ายอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพไปได้แล้วกว่า 76 ล้านชิ้นใน 78 ประเทศทั่วโลก โดยในจำนวนนี้กว่า 25.4 ล้านรายมีการใข้งานเป็นประจำ
ขณะที่ในประเทศไทยฟิตบิท ได้เสริมช่องทางจำหน่ายทั้งในแง่ของออฟไลน์ และออนไลน์ โดยปัจจุบันมีร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของฟิตบิท 168 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 แห่งภายในปีนี้
ส่วนในแง่ของช่องทางออนไลน์ฟิตบิท ได้จับมือกับทางลาซาด้าในการเปิดหน้าร้านอย่างเป็นทางการ และกำลังอยู่ในช่วงพูดคุยกับทางช้อปปี้เพื่อเข้าไปจำหน่ายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าทางฟิตบิท มองว่า ช่องทางออนไลน์จะเป็นส่วนเสริมให้แก่ผู้บริโภคที่อยู่ในต่างจังหวัดมากกว่า
สำหรับแผนการทำตลาดในปีนี้ ฟิตบิทได้เริ่มทยอยนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นสมาร์ทวอตช์ เข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น อย่างในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้นำ Fitbit Ionic เข้ามาจำหน่าย ตามมาด้วย Fitbit Versa เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ฟิตบิท ยังมีแผนที่จะเปิดตัวสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพของเด็ก ในรุ่น Fitbit Ace ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ในระดับราคาประมาณ 3 พันบาท โดยอ้างถึงผลสำรวจจากในต่างประเทศที่พบว่า ปัจจุบัน เยาวชน 1 ใน 5 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน ทำให้ผู้ปกครองต้องดูแลสุขภาพบุตรหลานมากขึ้น
“จากการที่มีการขยายตลาดไปทั้งสมาร์ทวอทช์ และนาฬิกาสำหรับเด็ก (Fitbit Ace) ที่จะเริ่มทำตลาดในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ คาดว่าจะทำให้สามารถรักษาอัตราการเติบโตได้มากกว่า 25% เพราะในช่วง 1-2 ปีทีผ่านมา ฟิตบิทในประเทศไทย เติบโตราว 25% เสมอ”
ทั้งนี้ Fitbit Versa ซึ่งเป็นสมาร์ทวอตช์รุ่นที่ 2 จะวางจำหน่ายในราคา 8,490-9,490 บาท ขึ้นอยู่กับสาย ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Fitbit OS 2.0 เช่นเดียวกับใน Ionic และมีแผนที่จะอัปเดตระบบให้สามารถใช้ตอบกลับข้อความ ส่งข้อความผ่านมือถือได้
รวมถึงฟีเจอร์การติดตามสุขภาพสำหรับผู้หญิง (Female health tracking) : สำหรับผู้ใช้งานที่เป็นผู้ใหญ่ ที่ระบุเพศหญิงไว้บน Fitbit app จะสามารถติดตามรอบเดือนและอาการต่างๆ โดยทางฟิตบิทก็จะนำข้อมูลสุขภาพเหล่านี้ไปช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์รอบเดือนได้
ส่วนในฟังก์ชันของ Fitbit Pay กำลังอยู่ในช่วงเข้าไปพูดคุยกับธนาคารพาณิชย์ และคาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานได้ภายในปีนี้ โดยปัจจุบัน ทั่วโลกได้มีการนำ Fitbit Pay มาใช้งานแล้วราว 15 ประเทศ จาก 60 ธนาคารพาณิชย์ และผู้ให้บริการบัตรเครดิตต่าง ๆ
***ยังไม่มีแผนออกรุ่นใส่ซิมการ์ด
ขณะเดียวกัน ทางฟิตบิท ยังได้ให้ข้อมูลถึงแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า ปัจจุบันยังไม่มีแผนที่จะนำระบบ Cellular มาใช้งาน โดยเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ เรื่องของแบตเตอรีที่เมื่อมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายจะใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ได้ไม่เต็มที่
อีกเรื่อง คือ การที่ปัจจุบันยังไม่มีคลื่นความถี่ที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกใช้งานร่วมกัน ทำให้เป็นการยากที่ผลิตสินค้าที่รองรับการใช้งานผู้คนทั่วโลก ให้ได้รับประสบการณ์ใช้งานได้ดีที่สุด