ไอบีเอ็ม (International Business Machines Corp) ประกาศสัดส่วนกำไร หรือมาร์จิน ที่ต่ำกว่าคาดการณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (18 เม.ย.) ทำให้นักลงทุนหวั่นใจ เพราะนี่คือสัญญาณว่า การปรับธุรกิจของ IBM ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเห็นผล
สัดส่วนกำไรที่พลาดเป้าทำให้หุ้นของ IBM ลดลงร้อยละ 6 ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงหลังการรายงานตัวเลขการเติบโตของรายได้ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งทำให้เห็นทิศทางชะลอตัวลงต่อเนื่องกว่า 6 ปีที่ผ่านมา
IBM พยายามยึดจุดยืนใหม่ในช่วงหลายปีมานี้ ด้วยการมุ่งเน้นที่ธุรกิจซึ่งทำอัตรากำไรได้สูงกว่า เช่น คลาวด์คอมพิวติง และบริการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดจำหน่ายฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ระบบแบบเดิม แต่การปรับเปลี่ยนนี้ดูจะเห็นผลไม่ทันใจ ทำให้ผู้ถือหุ้นบางรายผิดหวังจนส่งใหุ้น IBM หล่นฮวบ
เบื้องต้น IBM ยอมรับ และประกาศว่า อัตราสัดส่วนกำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 43.7% จาก 44.5% ในปีก่อนหน้า โดยอธิบายว่า อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเรียกเก็บเงินครั้งเดียว ซึ่งมีความสำคัญกับผลประกอบการบริษัท
ในการให้สัมภาษณ์กับนักวิเคราะห์ ประธานฝ่ายการเงินของ IBM “เจมส์ คาวานาฟ” (James Kavanaugh) กล่าวว่า บริษัทสามารถตัดค่าใช้จ่ายและประหยัดเงินได้จำนวนกว่า 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ไอบีเอ็ม ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
การประกาศผลประกอบการนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีข่าวว่า IBM จะปลดพนักงาน และปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ จินนี โรเม็ตตี้ (Ginni Rometty) ที่พยายามลดผลกระทบจากธุรกิจดั้งเดิมของบริษัท
ลู มิสซิโคเซีย (Lou Miscioscia) นักวิเคราะห์จากบริษัทพิโวทัลรีเสิร์ช (Pivotal Research) มองว่าเหตุผลหลักที่ทำให้นักลงทุนหวั่นใจใน IBM คือ อัตรากำไรที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้แม้ IBM จะได้รับผลประโยชน์ทางภาษี จำนวน 810 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีแดนลุงแซม แต่ก็เป็นผลดีในระยะสั้นเท่านั้น
ในภาพรวมช่วงไตรมาสล่าสุด ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม รายได้ของ IBM เพิ่มขึ้น 5% เป็น 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสนี้ โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 65% จากบริการรักษาความปลอดภัย ที่เด่นที่สุด คือ รายได้จากระบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น 25%
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทลดลงเหลือ 1.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.81 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น ลดลงจาก 1.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.85 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้นในปีก่อน.