“ไทคอน” ผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจร เดินหน้าตามแผนโรดแมป 3 ปี เปิดเกมรุกขยายธุรกิจใหม่ตามกลยุทธ์รุกเจาะตลาดด้วยจุดแข็งด้านบริการที่ครบวงจร ด้วยการจับเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัล ตั้งบริษัท ไทคอน เทคโนโลยี จำกัด (TICON Technology) ประเดิมจับมือพันธมิตรระดับโลก “เอสทีที จีดีซี” (STT GDC) บริษัทชั้นนำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์จากสิงคโปร์ รุกธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เผยเตรียมผุดอาคารดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ในกรุงเทพฯ
นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เทรนด์เศรษฐกิจในประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) อย่างเต็มรูปแบบ จะเห็นได้จากหลายอุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัลในการแข่งขันมากขึ้น อีกทั้งการเข้ามาอย่างเต็มตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ Fin Tech ในเมืองไทย
ขณะเดียวกัน ยังได้แรงสนับสนุนจากภาครัฐที่มีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล โครงการผลักดันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ส่งผลให้ธุรกิจบริการด้านไอที โดยเฉพาะธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ คาดว่าตลาดจะเติบโตสูงขึ้นถึงสองเท่าภายในระยะเวลา 3 ปี จึงเป็นโอกาสที่ดีในการขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทคอน ตลอดจนตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจรควบคู่กันไปด้วย
ไทคอน จึงเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจที่สอดรับกับเศรษฐกิจยุคนี้ คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติให้จัดตั้ง บริษัท ไทคอน เทคโนโลยี จำกัด (TICON Technology) พร้อมกันนี้ ยังได้อนุมัติการร่วมทุนกับเอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือเอสทีที จีดีซี (ST Telemedia Global Data Centres: STT GDC) พันธมิตรระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ในสัดส่วนการลงทุน 51-49 เพื่อรุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ
ด้านนายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดตั้งบริษัท ไทคอน เทคโนโลยี จำกัด (TICON Technology) เป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญและสร้างมูลค่าเพิ่มบนจุดแข็งของไทคอน ด้านการเป็นผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ที่ให้บริการโรงงาน และคลังสินค้าสำเร็จรูป ที่เข้าใจและตอบทุกความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมได้อย่างตรงจุด ด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 2.7 ล้านตารางเมตรทั่วประเทศ โดยได้จับมือกับเอสทีที จีดีซี เพื่อรุกธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ
“การรุกเข้าสู่ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ เป็นธุรกิจที่มีความสอดคล้องกับความเชี่ยวชาญ และช่วยเพิ่มบริการทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีของไทคอน ให้ครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าของไทคอน อีกทั้งยังเป็นการนำความแข็งแกร่งของไทคอน มาผสานกับความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและนำเสนอบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับโลกของพันธมิตรเอสทีที จีดีซี ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจใหม่นี้เติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยบริษัทฯ ยังเตรียมแผนที่จะสร้างอาคารดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ โดยตั้งเป้าให้เป็นดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ในกรุงเทพฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2563”
ด้านบรูโน่ โลเปซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ กล่าวว่า การร่วมมือกับไทคอน ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด และกลุ่มทีซีซี จะทำให้สามารถเข้าถึงเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุด และมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแลนด์แบงก์ รวมถึงพื้นที่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในพื้นที่เขตธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยรอบกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อผนวกกับประสบการณ์ของเอสทีที จีดีซี ในการออกแบบ การสร้างและให้บริการในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ การจับมือกันในครั้งนี้ จะช่วยขยายธุรกิจไปยังระดับโลกมากขึ้น และตอกย้ำจุดยืนของบริษัทในการเป็นผู้นำด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก เสริมความแข็งแรงจากเดิมที่ได้เริ่มต้นให้บริการในหลายประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นประเทศ อินเดีย จีน และสิงคโปร์
“เรามั่นใจว่า การผนึกความรู้ความเชี่ยวชาญในประเทศไทยของไทคอน เข้ากับความมุ่งมั่นและความเชี่ยวชาญในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกของเอสทีที จีดีซี จะทำให้ความร่วมมือในครั้งนี้ มีความแข็งแกร่ง และจะสามารถมอบบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าและคู่ค้าของเรา ที่มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศไทย และทั่วทุกภูมิภาค โดยเรามีความยินดีที่จะร่วมงานกับทีมผู้บริหารของไทคอน เพื่อสร้างอาคารดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย และตั้งอยู่ในพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตของกลุ่มลูกค้าในประเทศไทย ได้เป็นอย่างดี”