อูเบอร์ (Uber) ผู้ให้บริการรถร่วมเดินทางรายใหญ่เป็นข่าวว่าอาจตัดสินใจขายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้กับคู่แข่งอย่างแกร็บ (Grab) เพื่อปรับปรุงฐานะทางการเงินของตัวเองในช่วงเวลาที่กำลังเตรียมนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเสนอขายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO รายงานชี้มีแนวโน้มที่ดีลจะระบุให้ Uber ได้รับหุ้นใน Grab เป็นการตอบแทน ด้านซีอีโอ Uber ยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การดำเนินงานใน “ตลาดกำลังพัฒนา” เป็นการลงทุนที่ไม่จำเป็นสำหรับบริษัท
รายงานจากสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ระบุว่า Uber เตรียมอาบน้ำแต่งตัวพร้อมจะขายธุรกิจในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้แก่บริษัทแท็กซี่คู่แข่งรายอื่น โดย CNBC กล่าวว่า Uber จะได้รับหุ้นจำนวนไม่น้อยใน Grab เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่กำลังเกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เคยรายงานเมื่อปี 2017 ว่า Uber กำลังต้องดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อแข่งขันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Grab เปิดตัวฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย และกระบวนการชำระเงินทางเลือกที่ Uber ไม่มี จุดนี้สื่ออเมริกันจึงวิเคราะห์ว่า Uber พยายามแก้เกมด้วยการผลักดันรูปแบบธุรกิจ และแอปพลิเคชันของตัวเอง ออกมาสู่ตลาดที่มั่งคั่งมากกว่าแทน
หากการซื้อขายระหว่าง Uber และ Grab เกิดขึ้นจริง นี่จะไม่เป็นครั้งแรกที่ Uber เฉือนเนื้อขายธุรกิจนอกพื้นเกิดไป เพราะเมื่อปี 2016 ดาวรุ่งอย่าง Uber ตัดสินใจควบรวมกิจการในประเทศจีนเข้ากับคู่แข่งแดนมังกรอย่าง Didi โดย Didi ตกลงเทเงินลงทุนมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.15 หมื่นล้านบาท) ใน Uber ซึ่งเป็นช่วงที่ Uber มีมูลค่าตลาดมากกว่า 6.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท)
ผลของการลงทุนครั้งนั้น ทำให้นักลงทุนของ Uber China กลายเป็นผู้ถือหุ้น 20% ของบริษัท ที่ควบรวมกิจการแล้ว ซึ่งมีมูลค่าตลาดราว 3.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
***เส้นทางใหม่เพื่อทำกำไรของ Uber?
ดารา คอซรอว์ชาฮิ (Dara Khosrowshahi) ซีอีโอ Uber ประกาศชัดเจนในงานประชุม Goldman Sachs Technology and Internet Conference ในซานฟรานซิสโก ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า Uber อาจจะขายส่วนธุรกิจที่ทำประสิทธิภาพต่ำ เพื่อปรับปรุงบัญชีของบริษัท ก่อนที่ Uber จะดำเนินการเสนอขายหุ้นในปี 2019
ซีอีโอ Uber อธิบายว่า ตลาดหลักของ Uber ในช่วงไตรมาสที่ 4 คือ ตลาดที่พัฒนาแล้ว และรายได้รวมจากประเทศกลุ่มนี้จะช่วยอุ้มค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท จุดนี้ Khosrowshahi ย้ำว่า บริษัทกำลังเน้นดำเนินงาน 2 ส่วน ซึ่งรวมการเทเงินลงทุนในตลาดที่กำลังพัฒนาด้วย
“แม้จะเป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายตัวแดงที่เห็นได้ชัด แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนทางเลือกสำหรับ Uber” ซีอีโอ Uber ระบุ โดยเชื่อว่าการลงทุนในตลาดกำลังพัฒนา จะยังทำให้ Uber ติดลบต่อไปอีกนาน
ในภาพรวม Khosrowshahi มองว่า ภาวะติดลบจะยิ่งเพิ่มขึ้นในยุคที่ยานยนต์อัตโนมัติแจ้งเกิดแพร่หลาย ทั้งหมดนี้ทำให้เขาระบุว่า หากตัดปัจจัยทั้งหมดทิ้งไป ตัวเขาเองอยากตัดสินใจหยุดการลงทุนเพื่อเน้นทำเงินจากบริการหลักที่มีอยู่ให้ดีที่สุด
“หากลืมเรื่องทั้งหมดนี้ไป สิ่งที่ผมต้องการ คือ บริการหลัก” โดยบอกว่า หาก Uber เน้นทำตลาดทุกบริการที่มีอยู่แล้ว หรือหยุดการลงทุนทุกอย่าง บริษัทจะเป็นธุรกิจที่มีเม็ดเงินกระแสเงินสดหมุนเวียนสูงมาก สัดส่วนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4