เฟซบุ๊ก (Facebook) ออกมาประกาศเปิดตัวแท็บ “Watch” เพื่อการรับชมวิดีโอโดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มของตัวเองแล้วอย่างเป็นทางการ โดยมีการแบ่งรายได้กับผู้ผลิตคอนเทนต์ 55 เปอร์เซ็นต์ของค่าโฆษณา ส่วนอีก 45 เปอร์เซ็นต์ คือ รายได้ที่เฟซบุ๊กเก็บเข้ากระเป๋า ซึ่งในฟีเจอร์ใหม่อย่าง Watch นั้น จะรับชมได้ทังบนอุปกรณ์โมบาย เดสก์ท็อป และแอปพลิเคชันสำหรับทีวี
โดยเมื่อคลิ๊กเข้ามาในส่วนของ Watch จะมีการแบ่งประเภทของคลิปวิดีโอในหลายหมวด เช่น คลิปที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด หรือคลิปที่ตลกขำขัน ไปจนถึง “คลิปที่เพื่อนของคุณกำลังดูอยู่” (Shows Your Friends Are Watching) ซึ่งผู้ผลิตคอนเทนต์สามารถแชร์รายการของตนเองไปยังฟีดข่าว เพื่อให้ผู้ใช้งานรายอื่นมองเห็น และคลิกเข้ามาดูได้
นอกจากนั้น ยังมีส่วนของโชว์ที่แบ่งเป็นตอน ๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานกดติดตาม (Subscribe) เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อตอนต่อไปพร้อมจะฉายด้วย
ด้วยความเป็น “เครือข่ายสังคม” ของเฟซบุ๊ก แฟน ๆ ของรายการยังสามารถติดต่อพูดคุยกันได้ รวมถึงติดต่อกับผู้ผลิตคอนเทนต์ได้ด้วย ซึ่งเฟซบุ๊ก เผยว่า การให้บริการจะเริ่มทดสอบกับผู้ใช้กลุ่มเล็ก ๆ ในสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะมีการขยายออกไปในวงกว้าง ซึ่งในอนาคตอันใกล้ก็จะมีผู้ผลิตคอนเทนต์ต่าง ๆ เข้าร่วมมากขึ้นด้วย
สำหรับคนที่ได้รับสิทธิให้เข้าทดสอบบริการนี้จะพบสัญลักษณ์คล้ายทีวีปรากฏอยู่ที่ด้านล่างของ Navigation Bar ซึ่งเมื่อคลิกเข้าไปก็จะเข้าไปในส่วนของ Watch ได้เลย
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก ยอมรับว่า มีการร่วมสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ผลิตบางรายด้วย พร้อมตั้งเป้าว่าในตอนเปิดตัวอาจมีคอนเทนต์หลักร้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะสามารถขยับขึ้นได้เป็นหลักพันแน่นอน
โดยแนวทางในการเลือกคอนเทนต์มานำเสนอบน Watch นั้น คาดว่าจะเน้นความหลากหลาย ตั้งแต่รายการเรียลิตี, ตลก, ทำอาหาร ไปจนถึงรายการประเภทกีฬา
ขณะที่ซีอีโออย่างมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า การรับชมรายการในอนาคตไม่จำเป็นที่ผู้บริโภคจะเป็นฝ่ายดูอย่างเงียบ ๆ แต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะเราสามารถแชท สามารถพูดคุยกับเพื่อน ๆ ได้ในระหว่างการรับชม รวมถึงเข้าไปอยู่ในกลุ่มของคนที่คอเดียวกัน ดูรายการไปด้วยกัน และสร้างชุมชนแห่งการพูดคุยกันขึ้นมาได้เลย
โดยในระยะเริ่มต้นยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานของคอนเทนต์ที่จะฉายบนแพลตฟอร์มดังกล่าว เฟซบุ๊ก ระบุแต่เพียงว่า จะมอนิเตอร์รายการที่มีคนกดรายงานเข้ามาให้เข้มงวดขึ้น
ส่วนผู้ผลิตคอนเทนต์สามารถเลือกได้ว่าจะใส่โฆษณาลงไปหรือไม่ หรือในส่วนของแบรนด์ก็สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่นำเสนอสินค้าหรือบริการได้เช่นกัน