เอไอเอส รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2560 มีกำไรสุทธิ 7,215 ล้านบาท และมีรายได้จากการให้บริการเติบโตขึ้น 6.6% จากปีก่อน โดยมีจำนวนลูกค้าที่ใช้งาน 4G 39% จากจำนวนลูกค้าทั้งหมด 40.5 ล้านราย ส่วนเอไอเอส ไฟเบอร์ มีจำนวนลูกค้า 445,900 ราย ประกาศจ่ายเงินปันผล 3.51 บาท/หุ้น
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ของปี 2560 รายได้จากการให้บริการของเอไอเอสเติบโตขึ้น 6.6% ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งบริการมือถือ และบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน ในด้านการให้บริการดาต้าบนมือถือ
เนื่องจากเอไอเอสมีเครือข่ายคุณภาพที่แข็งแกร่งบนช่วงคลื่นความถี่ ทั้ง 900, 1800 และ 2100 MHz ทำให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ปัจจุบันเอไอเอสเป็นผู้นำในด้านการให้บริการดาต้าบนมือถือ
ประกอบกับการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทาง Ecosystem จึงรวบรวมความหลากหลายของคอนเทนต์จากพันธมิตรชื่อดังระดับโลก ซึ่งเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ViU ที่รวมซีรีส์เกาหลี และรายการวาไรตี้ยอดนิยมจากประเทศเกาหลี และ Netflix ที่รวบรวมหนัง ซีรีส์ และรายการสุดฮิตจากสหรัฐอเมริกา
ขณะที่เทรนด์การใช้งานวิดีโอสตรีมมิ่ง ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลูกค้าใช้บริการดาต้าเพิ่มขึ้น 4.7 GB ต่อเดือน สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ มีเป้าหมายในการก้าวสู่ผู้เล่นหลักในตลาดธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้านในอีก 3 ปี
โดยในไตรมาสนี้ เอไอเอส ไฟเบอร์ มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 72,000 ราย ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ จากความต้องการใช้เทคโนโลยีไฟเบอร์ที่มีคุณภาพ ทั้งความเร็ว และความเสถียร ทำให้แบรนด์เอไอเอส ไฟเบอร์ กลายมาเป็นที่รู้จักมากขึ้น
สำหรับในครึ่งปีหลังของปี 2560 เอไอเอสได้วางแผนในการเพิ่มความแข็งแกร่งสำหรับธุรกิจหลัก ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตบ้าน และดิจิทัลคอนเทนต์ เพื่อให้พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกรูปแบบ ในส่วนของเอไอเอส ไฟเบอร์ มีแผนในการขยายพื้นที่การให้บริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการด้วยเทคโนโลยีด้านไฟเบอร์ในพื้นที่ใหม่ๆ รวมไปถึงบริการด้านความบันเทิงภายในบ้านที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
“เอไอเอส มีความพร้อมในการนำศักยภาพ และขีดความสามารถผนึกกำลังกับพันธมิตรของเรา ผสานรวมกับเทคโนโลยีดิจิทัล เข้าไปยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และเสริมความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็น Thailand 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล”