วันนี้บริษัทสตาร์ทอัปเกิดใหม่จำนวนมากทั่วโลกกำลังเมินการเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุนผ่าน IPO แต่หันมาระดมเงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยการออกเหรียญเงินตราดิจิทัลใหม่ของตัวเอง เทรนด์นี้นำไปสู่ทั้งความตื่นเต้นและความกังวล บนความแรงสุดขีดเพราะเม็ดเงินมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐหลั่งไหลเข้ามาสู่วงการที่เรียกกันว่า “Initial Coin Offering” (ICO) แล้วตั้งแต่ต้นปีนี้
ริชาร์ด คาสเทเลน (Richard Kastelein) แห่งบริษัทคริปโตแอสเซ็ตส์ดีไซน์กรุ๊ป (Cryptoassets Design Group) ผู้ช่วยให้บริษัทเกิดใหม่สามารถเปิดขาย ICO ได้ง่าย เป็นผู้ให้ข้อมูลนี้กับสำนักข่าวบิสสิเนสอินไซเดอร์ ว่ายอดเงินระดมทุนของสตาร์ทอัปผ่าน ICO ในขณะนี้มีมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ตัวเลขนี้รวมกรณีของบริษัทโอมิเสะ (Omise) น้องใหม่ฟินเทคชื่อดังของไทยที่เข้าซื้อกิจการเพย์สบาย (Paysbuy) หลังจากขาย ICO ระดมทุนได้ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพียงไม่กี่วัน
ตัวเลขนี้มีมูลค่าแทบไม่น่าเชื่อ เพราะหากย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ยังไม่เคยมีใครพูดถึง ICO เลย
ไม่เพียง Omise ยังมีบริษัทเทคโนโลยีทำนายทิศทางค่าเงินสกุลเอเธอเรียม (Ethereum) อย่าง Gnosis ที่สามารถเพิ่มทุนมากกว่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐในเวลา 10 นาทีหลังประกาศ ICO เมื่อเดือนเมษายน และยังมีบริษัทชื่อ Brave สตาร์ทอัปผู้พัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ก่อตั้งมอสซิลา (Mozilla) ที่สามารถระดมทุน 35 ล้านเหรียญสหรัฐในเวลาไม่ถึง 30 วินาที ในการขายเหรียญดิจิทัลชื่อ 'เบสิคแอเทนชันโทเคนส์' (Basic Attention Tokens) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
***ตลาดร้อนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญในวงการ ICO เชื่อว่ารูปแบบการระดมทุน ICO จะร้อนแรงต่อไปหลังจากเริ่มมีกระแสก้าวกระโดดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเทรนด์แรงที่กำลังเกิดขึ้นคือสตาร์ทอัปจะสร้างเหรียญเงินตราดิจิทัลของตัวเอง ไม่ผูกติดกับเงินดิจิทัลที่ค่าเงินโตกระฉูดไปแล้วก่อนหน้านี้อย่างบิตคอยน์ (Bitcoin) รวมถึงเงินสกุลอันดับ 2 และ 3 อย่าง Ethereum และริปเปิล (Ripple)
แม้ว่าค่าเงินดิจิทัลเหล่านี้จะสุดสูง แต่นาทีนี้ค่าเงินกลับลดลงจนมูลค่าเงินรวมในตลาดเหลือเพียง 8.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากที่เคยพุ่งสูง 1.14 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับการระดมทุนผ่าน ICO บริษัทนั้นจะใช้วิธีเปิดตัวเงินดิจิทัลสกุลใหม่ ซึ่งจะสามารถใช้ในระบบของบริษัท และสามารถนำไปแลกเปลี่ยนมือ หรือนำกลับมาขับเคลื่อนธุรกิจได้ด้วย
วันนี้เงินสกุลใหม่จึงไม่ได้มีแค่ Bitcoin, Ethereum และ Ripple แต่มีเงินสกุลใหม่อย่าง Steem, Dash, AntShares และ Dogecoin โดยหากประเมินให้เห็นภาพ มูลค่าตลาด Bitcoin ในวันนี้คิดเป็นเพียง 45.5% ของตลาดเงินตราดิจิทัลรวมเท่านั้น ลดลงจาก 94% ที่เคยมีการบันทึกไว้เมื่อปีที่ผ่านมา
ตัวอย่างที่น่าสนใจของการขาย ICO ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ คิกแมสเสนเจอร์ (Kik Messenger) แอปพลิเคชันรับส่งข้อความสนทนายอดนิยมจากแคนาดา ที่ประกาศทำสกุลเงินของตัวเองชื่อว่า “คิน” (Kin) สกุลเงินนี้ถือเป็น “สกุลเสมือน” ที่อยู่บนระบบของ Ethereum อีกชั้น โดยสกุลเงิน Kin จะถูกนำไปใช้ในระบบของ Kik Messenger ที่มีผู้ใช้ประจำราว 300 ล้านคน (15 ล้านรายต่อเดือน) เหมือนเงินดิสนีย์แลนด์ดอลลาร์สหรัฐที่ใช้ซื้อสินค้าภายในสวนสนุกได้
เพื่อความชัดเจน วงการเงินดิจิทัลจึงเรียกสกุลเงินเสมือนสไตล์ Kin ว่า โทเคน (Token) ดังนั้น การขาย ICO จึงเป็นการเสนอขาย Token เหล่านี้ต่อสาธารณชน และนักลงทุน
กรณีของ Kik นอกจากการขาย ICO บริษัทยังต้องผ่านกระบวนการระดมทุนแบบดั้งเดิม หรือ venture capital ร่วมไปด้วย เช่นเดียวกับ Omise โดย Kik สามารถระดมทุนรูปแบบปกติได้มากกว่า 120 ล้านเหรียญ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก 50 ล้านเหรียญของเจ้าพ่อออนไลน์จีนอย่างเท็นเซ็นต์ (Tencent) แต่การขาย ICO มีส่วนช่วยให้ Kik มีเงินทุนมากขึ้น จุดนี้ Kik มีแผนใช้เงิน 10% ของเงินสกุล Kin ขณะที่จะเก็บเงิน 30% ไว้ และอีก 60% จะส่งให้องค์กรการกุศล Kin Foundation เป็นผู้ดูแล ซึ่งองค์กรนี้เชื่อว่าจะเป็นกุญแจทำให้เงินสกุล Kin ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะองค์กรจะมอบหุ้น 20% ของ Kin แก่นักพัฒนา และพันธมิตรรายอื่น ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจให้ Kin ในทุกปี
เงิน Kin สามารถใช้ซื้อสิ่งของและบริการบนเครือข่ายสังคม Kik เช่น อีโมจิ สติกเกอร์ บริการโฮสติง และบริการอื่นเช่นระบบตอบคำถามอัตโนมัติ ซึ่งเป้าหมายสูงสุดในอนาคต คือ เงิน Kin อาจจะสามารถใช้ซื้อขายบริการอื่นนอกแอปพลิเคชัน Kik ได้
แต่ไม่ใช่ว่า ทุกบริษัทจะต้องเปิดเงินสกุลของตัวเอง บางบริษัทสามารถใช้บริการแพลตฟอร์มเงินดิจิทัลเพื่อระดมทุนได้รวดเร็วขึ้น จุดนี้ แจน ไอซาโกวิก (Jan Isakovic) ซีอีโอบริษัทให้บริการแพลตฟอร์ม ICO ชื่อ โคฟาวด์ (Cofound.it) ประเมินว่า การระดมทุนในระบบ VC นั้น ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนในการเตรียมการ แต่ ICO นั้นสามารถทำได้เลย
โดยเฉพาะเมื่อ Ethereum เป็นระบบบล็อกเชนแบบเปิด (blockchain-based public system) ที่ให้ทุกคนสามารถสร้างชุดคำสั่ง หรือพัฒนาเงินสกุลเสมือนได้ง่าย ซึ่งผู้ที่อยู่ในวงการนี้เชื่อว่า ทั้งหมดกำลังเข้าสู่ช่วงการขยายตัวอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ฟองสบู่
*** สัญญาใจทำฟองสบู่ตั้งเค้า?
เมื่อมีแต่เงินเสมือน แต่ไม่มีเงินจริงที่จับต้องได้ นักสังเกตการณ์บางรายจึงมองว่านี่อาจทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดที่กลวงโบ๋ จุดนี้ Isakovic เชื่อว่า ทั้งหมดนี้จะไม่ทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดทุน เพราะในทางปฏิบัติ นักลงทุนจะได้รับความคุ้มครอง เนื่องจากสตาร์ทอัปต้องมีการเจรจากับทุกคนเพื่อระดมเงิน และทำให้โครงการของตัวเองประสบความสำเร็จ
แม้จะต้องพึ่งพาสัญญาใจเป็นหลัก แต่นักลงทุนก็ไม่หวั่นใจ เพราะรายงานล่าสุด ระบุว่า มีบริษัทเกิดใหม่มากกว่า 5 รายที่รอเปิดขาย ICO ในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ ซึ่งมีตั้งแต่บริษัทด้านฐานข้อมูลถึงบริการเกมรับพนันออนไลน์
ไม่ว่าจะฟองสบู่หรือไม่ แต่นาทีนี้ยอมรับความฮอตของ ICO จริง ๆ.