โลกอินเทอร์เน็ต กำลังจะเกิดการปรับโฉมหน้าอีกครั้ง เมื่อมีรายงานจากซิสโก (Cisco) พบว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น แอมะซอน (Amazon), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), เฟซบุ๊ก (Facebook) และกูเกิล (Google) กำลังจะกลายเป็นผู้ครองทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เอาไว้แทน
โดยซิสโก้ ได้เปิดเผยผ่านการคาดการณ์ด้านทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตประจำปี (Annual Forcast of Internet Traffic Trends) ว่า 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะครองสัดส่วนของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตเอาไว้กว่า 70% ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยบริษัทเหล่านั้น ถือเป็นเครือข่ายประเภทจัดส่งข้อมูล หรือ Content Delivery Networks (CDNs)
ปัจจุบัน เครือข่ายประเภท CDNs ถูกใช้เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้งานสื่อออนไลน์บางประเภทของผู้ใช้งานดีขึ้น เช่น วิดีโอสตรีมมิง หรือหากเอ่ยเป็นชื่อของผู้ให้บริการก็เช่น เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ยูทูป (YouTube) แต่ด้วยความที่ประเทศในกลุ่มร่ำรวยแล้วส่วนใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เอเชียแปซิฟิก เริ่มมีการใช้งานบริการในลักษณะนี้สูง ทำให้สัดส่วนของการใช้งานอินเทอร์เน็ตเทมาทางฝั่งของ CDNs เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากการคาดการณ์ของซิสโก้ ในปี 2021 เป็นไปได้ว่า ทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกา จะวิ่งอยู่บน CDNs ประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วยยุโรปตะวันตก 87 เปอร์เซ็นต์ และเอเชียแปซิฟิก 64 เปอร์เซ็นต์
ผลจากความเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น เฟซบุ๊ก แอมะซอน เน็ตฟลิกซ์ และกูเกิล ก็จะยิ่งลงทุนเครือข่าย CDNs ของตัวเองเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้ส่งผ่านข้อมูลสู่ผู้บริโภคได้ดีกว่าการใช้เครือข่ายของคนอื่น หรือในกรณี เช่น เน็ตฟลิกซ์ จะพบว่า มีการลงทุนเครือข่าย CDNs ส่วนตัว (Private CDNs) ในอเมริกาเหนืออย่างมากในช่วง 5 ปีนี้เลยทีเดียว
ซิสโก้ ระบุว่า การใช้เครือข่าย CDNs จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ออนไลน์ที่ดีขึ้น เช่น การดูหนัง การสตรีมมิงคอนเทนต์ หรือการเล่นเกมต่างๆ