Claim Di เริ่มลุยเข้ากลุ่มผู้บริโภค ออกบริการใหม่ “Claim Di K4K ระบบชนเล็ก Shake แล้วแยก” ให้ผู้บริโภคที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนสามารถส่งเรื่องเคลมได้ภายใน 1 นาที พร้อมเร่งผนึกบริษัทประกันให้ทำงานภายใต้ระบบที่เชื่อมต่อกันเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย เบื้องต้น เข้าร่วมแล้ว 10 บริษัทภายในเดือนตุลาคม
นายกิตตินันท์ อนุพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัด ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Claim Di กล่าวว่า จากเป้าหมายของ Claim Di ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจประกันภัยให้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าผู้บริโภคมีการเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงาน และธุรกิจประกันเปลี่ยนตาม ก็จะส่งผลต่อโครงสร้างที่มีอยู่เดิมไปสู่สิ่งใหม่ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจประกันภัยพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับระบบ “Claim Di K4K ระบบชนเล็ก Shake แล้วแยก” ถูกคิดค้นขึ้นมา ภายใต้แนวคิดในการจัดการปัญหาการเสียเวลารอนักสำรวจภัย ให้สามารถจัดการปัญหาการชนภายใน 4 ขั้นตอน สำหรับผู้ที่ดาวน์โหลด และลงทะเบียนแอป Claim Di ไว้แล้ว คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์รถชนต้องตกลงกันให้ได้ถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก่อน หลังจากนั้น เปิดแอปเขย่าเพื่อตรวจสอบข้อมูลระหว่าง 2 ฝั่ง ถ่ายรูปความเสียหายที่เกิดขึ้น และเลือกอู่ นัดเวลาเข้าซ่อม
ในส่วนของแผนส่งเสริมการใช้งานแอปพลิเคชันนี้ ในช่วงแรกผู้ที่ใช้งานด้วยการ Shake เมื่อนำรถเข้าอู่ซ่อม สามารถติดต่อรับรหัสเรียกใช้บริการ Taxi มูลค่า 3,000 บาท โดยจะเป็นรหัสคูปอง 15 ชุด ชุดละ 200 บาทต่อการใช้บริการหนึ่งครั้ง ซึ่งหากผู้ได้รับคูปองใช้จ่ายเกิน 200 บาทต่อเที่ยว ต้องออกค่าบริการส่วนต่างเพิ่ม ซึ่งแคมเปญแจกคูปองแท็กซี่นี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม โดยคูปองที่ได้รับจะมีอายุการใช้งาน 3 เดือนนับตั้งแต่ได้รับคูปอง
เบื้องต้น มีบริษัทประกันภัย 4 ราย ที่เข้าร่วมแล้ว คือ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัทเทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ธนชาต ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และในช่วงเดือนตุลาคมอีก 6 ราย คือ บริษัท เจนเนอราลี่ ประกันภัย (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน)
โดยสถิติแล้ว ในประเทศไทยมีรถในระบบประมาณ 35 ล้านคัน เป็นมอเตอร์ไซค์ 20 ล้านคัน รถยนต์ 15 ล้านคัน ซึ่งในแต่ละปีจะมีการเคลมประกันราว 14 ล้านครั้ง ซึ่งรถยนต์บางคันอาจจะไม่เกิดอุบัติเหตุเลย หรือบางคันอาจจะเกิดอุบัติเหตุ 3-4 ครั้ง ดังนั้น ในมุมของผู้บริโภคจึงค่อนข้างยากที่จะทำให้เกิดการดาวน์โหลดแอปมาใช้งาน
“ความยากในการให้บริการเคลมดิ ในฝั่งของผู้บริโภคทั่วไป คือ การที่ปัจจุบัน ผู้ใช้รถยนต์แต่ละรายจะเกิดอุบัติเหตุเฉลี่ย 1 ครั้งต่อปี ทำให้ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องดาวน์โหลดแอปที่ใช้งานปีละครั้งมาใช้งาน ทำให้ในช่วงแรก Claim Di จึงมุ่งเน้นการพัฒนาแอป เพื่อตอบโจทย์บริษัทประกันภัยก่อน แต่หลังจากนี้จะเริ่มโปรโมตในมุมของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยจะได้รับความร่วมมือจากดีแทค และเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในมุมของสตาร์ทอัปมาสร้างการรับรู้”
นายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน ทั้ง Fin-Tech และ Insure-Tech กำลังเป็นที่จับตามองของทั่วโลก ทั้งตลาดการเงิน การลงทุน และธุรกิจประกันภัย กำลังถูกเขย่าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามามากมาย เทคโนโลยีพวกนี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงนั้น เปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนองค์กรใหญ่ๆ ในภาคธุรกิจทั้งสามปรับตัวแทบจะไม่ทัน
“โชคดีที่ภาคธุรกิจประกันภัยในเมืองไทยมี Claim Di อยู่ ทำให้การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่จะส่งผลโดยตรงกับผู้บริโภค ได้มีการหารือ และทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจ และ insure-tech ตลอดเวลา จนแทบจะเป็นการก้าวเดินไปพร้อมกัน และเชื่อได้เลยว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกๆ ของโลกในการที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยการบริการด้านประกันภัยรถยนต์ที่ทันสมัยที่สุด”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือ พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่จากเดิมทำเพียงแค่ซื้อประกันรถยนต์แล้วจบ แต่เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามา ก็สร้างการแข่งขันตั้งแต่การเลือกซื้อประกันภัยที่ถูก และตรงใจที่สุด จะต้องสามารถแชร์ข้อมูล และสร้างรายละเอียดเพื่อเอื้อต่อการซื้อประกัน เช่น จำนวนเวลาที่ขับรถ วิธีการขับรถ ฯลฯ รวมถึงบริการเสริมต่างๆ เช่น การเคลมประกัน การนำรถเข้าอู่ซ่อม การมีรถยกฟรีให้บริการ การบริการเสริมต่างๆ
ปัจจุบัน แอปพลิเคชัน Claim di มียอดดาวน์โหลดแล้ว 3 หมื่นดาวน์โหลด มีการลงทะเบียนใช้งาน 1.5-1.7 หมื่นราย มีรถในระบบราวๆ 2 หมื่นคัน เนื่องจากที่ผ่านมา เน้นไปที่การรับจ้างทำระบบบริหารจัดการการทำเคลมหลังบ้านให้กับบริษัทประกันภัยมามากกว่า 35 ประกันภัย ซึ่งแต่ละบริษัทประกันภัยใช้บริการของที่แตกต่างกันไป รวมถึงบริการนักสำรวจภัยด้วย
อย่างไรก็ตาม ระบบ Knock for Knock ถือเป็นระบบที่ไม่สามารถให้บริษัทประกันภัยเพียงรายใดรายหนึ่งพัฒนามาใช้ด้วยตนเองได้ เพราะการ K4K กันระหว่างลูกค้าประกันภัยของตนเองจะมีปริมาณที่น้อย และส่วนใหญ่จบที่แนวทางปฏิบัติเดิมจะง่ายกว่าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่วงการประกันภัยต้องการ คือ ระบบที่เป็นกลาง เชื่อมต่อได้ทุกบริษัทประกันภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุลูกค้าของทุกประกันสามารถทำเคลมประกันเองได้ในทันที โดยที่บริษัทประกันภัยคู่กรณีทั้งสองรับรู้ และอนุมัติ
ทั้งนี้ Claim Di อยู่ในวงการเคลมประกันภัยรถยนต์มา 16 ปี เป็นผู้คิดค้นวิธีการทำเคลมโดยใช้ Mobile Phone + Mobile Printer + ระบบการรับแจ้ง และสั่งการ เช่น Claim Di Enterprise ระบบบริหารจัดการเคลมหลังบ้านทั้งหมด, Claim Di Call บริการ Call Center 24X7 และ Non Office Hours, Claim Di Bike บริการรับจ้างสำรวจภัยด้วย ระบบ Claim Di Application รับทำเคลมสด เคลมแห้ง และตรวจสภาพรถยนต์การรับประกัน
Claim Di Assist บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน และบริการ Personal Assistance, Claim Di Inspection ระบบที่ให้ลูกค้าสามารถทำการตรวจสภาพรถยนต์เข้ามาได้เอง, Claim Di NA ระบบที่ให้ลูกค้าสามารถทำเคลมแห้งเข้ามาได้เอง, Claim Di ilertu ระบบที่ให้ลูกค้าสามารถกดเรียกพนักงานสำรวจภัยได้เอง โดยไม่ต้องอธิบายจุดเกิดเหตุ และล่าสุด Claim Di K4K ระบบ ชนเล็ก Shake แล้วแยก
Company Relate Link :
Claim Di