ชไนเดอร์ เผยรายได้ปีที่ผ่านมาเติบโต 6.8% โดยส่วนใหญ่มาจากตลาดในเอเชียแปซิฟิก พร้อมปรับเปลี่ยนบทบาทธุรกิจใหม่ให้เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ผ่านกลยุทธ์ Life Is On ที่จะนำเสนอนวัตกรรม และโซลูชันที่สามารถตอบสนองลูกค้าได้ทุกความต้องการ เตรียมรุกตลาดไทยด้วยรูปแบบ Smart Solution Delivery Bus หวังเข้าถึงทุกธุรกิจผ่านการสาธิตให้เห็นประสิทธิภาพของโซลูชัน มั่นใจปลายปีจะเข้าถึงลูกค้าได้ถึง 100 บริษัท พร้อมส่งดาต้า เซ็นเตอร์แบบพร้อมใช้ใส่ตู้คอนเทนเนอร์ ชูจุดเด่นเรื่องความประหยัดเข้าสู่ตลาด
นายมาร์ค เพลิทิเยร์ ประธานบริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย กล่าวว่า รายได้รวมของชไนเดอร์ทั่วโลกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 26.6 พันล้านเหรียญยูโร เพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเอเชียแปซิฟิกมีส่วนแบ่งรายได้สูงที่สุดอยู่ที่ 29% เมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคอื่น โดยในปีนี้ชไนเดอร์ปรับกลยุทธ์การทำตลาดทั่วโลกใหม่ภายใต้ชื่อ “Life Is On” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จะนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านการจัดการพลังงานผ่านระบบสารสนเทศ และอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือ IoT มาช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงานภายในองค์กร
Life Is On ถือเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ เพื่อนำเสนอโซลูชันที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างหลากหลาย ในรูปแบบของการบูรณาการด้วยระบบอัตโนมัติ และซอฟต์แวร์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อช่วยในการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับการทำตลาดในเมืองไทยด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว ชไนเดอร์ จะเริ่มสร้างการรับรู้ที่แข็งแกร่งทั้งพันธมิตร และลูกค้า และขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกธุรกิจของประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ ในรูปแบบของ Smart Solution Delivery Bus ที่จะทำการติดตั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม และโซลูชันต่างๆ แล้วนำไปโชว์ตามโรงงานอุตสาหกรรม พันธมิตรรายย่อย เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจถึงผลที่จะได้รับจากการใช้โซลูชันของชไนเดอร์ โดยตั้งเป้าเข้าถึงลูกค้า 100 รายทั่วประเทศ ใน 30 จังหวัดภายในปีนี้
“Life Is On ยังสอดคล้องต่อแนวทางการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2558-2579 ที่ได้มุ่งเป้าหมายของการลดความเข้มของการใช้พลังงาน (จำนวนวัตต์) ลง 30% โดยนอกเหนือจากกลยุทธ์ใหม่นี้ที่ผ่านมา ชไนเดอร์ยังได้ดำเนินโครงการติดตั้งโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หมู่บ้านที่ขาดแคลนไฟฟ้า และอยู่ห่างไกลทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบโซลาร์ให้แก่หมู่บ้าน 7 แห่ง รวมหมู่บ้านชาวมอแกนในหม่เกาะสุรินทร์ โดยหลังจากเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน มีชาวบ้านกว่า 1,200 คนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้”
นายมาร์ค กล่าวว่า ในปีนี้ยังจะเน้นการให้ความสำคัญต่อลูกค้าที่ใช้บริการโซลูชันของชไนเดอร์อยู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้น รวมไปถึงการช่วยยืดอายุการใช้งานให้แก่อุปกรณ์ต่างๆ ในการลดต้นทุน และการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน
นอกจากนี้ ชไนเดอร์ยังได้เตรียมดาต้า เซ็นเตอร์พร้อมใช้มาให้บริการลูกค้า โดยทำในลักษณะของแรคที่บรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์สามารถติดตั้งได้ง่าย และมีระบบทำความเย็นภายใน รวมไปถึงยังสามารถขยายได้ตามความต้องการของลูกค้า โดยใช้เวลาในการประกอบไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถติดตั้งภายในโรงงานของลูกค้าได้ โดยมีการลงทุนเบื้องต้นถูกกว่าการลงทุนสร้างดาต้า เซ็นเตอร์แบบทั่วไป รวมไปถึงค่าต้นทุนดูแลในเรื่องต่างๆ จะลดลง