กระแสสมาร์ทวอทช์ที่ร้อนแรงที่สุดตอนนี้คงต้องยกให้ Apple Watch (แอปเปิล วอทช์) เป็นที่หนึ่งของตลาด เพราะด้วยดีไซน์ที่หรูหรา ประกอบกับรุ่นที่มีให้เลือกถึง 38 รุ่น จับกลุ่มผู้ใช้งานได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะเกิดความสนใจเมื่อแรกเห็น
วันนี้ผู้จัดการไซเบอร์จะพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความรู้จักกับ Apple Watch สมาร์ทวอทช์สุดร้อนแรงแห่งปีให้มากขึ้น
***38 รุ่นย่อย 3 ช่วงราคา
ถือเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เปิดตัวได้แปลกไม่เหมือนใคร เพราะแอปเปิลตั้งใจให้ Apple Watch จับกลุ่มผู้ใช้ทุกแบบ ตั้งแต่วัยรุ่น คนทำงาน ไปถึงกลุ่มไฮโซ ได้แก่
1.Apple Watch Sport เป็นรุ่นเริ่มต้น จับกลุ่มวัยรุ่น ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมประกบหน้าจอ Ion-X Glass หน้าจอมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 25 กรัม) และ 42 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 30 กรัม) ราคาเริ่มต้น 13,500-15,500 บาท
2.Apple Watch จับกลุ่มระดับกลาง ตัวเครื่องผลิตจากสเตนเลส สตีล 316L (ทนการกัดกร่อน และทนสนิม) ประกบหน้าจอ Sapphire crystal มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 40 กรัม) และ 42 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 50 กรัม) ราคาเริ่มต้น 20,500-41,500 บาท
3.Apple Watch Edition จับกลุ่มระดับบน ไฮโซสุด เนื่องจากตัวเครื่องผลิตจากทองคำ 18 กะรัตมี 2 สีให้เลือก ได้แก่ Rose Gold และ Yellow Gold ประกบหน้าจอ Sapphire crystal มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 54 กรัม สำหรับ Rose Gold และ 55 กรัม สำหรับ Yellow Gold) ขนาด 42 มิลลิเมตร (น้ำหนัก 67 กรัม สำหรับ Rose Gold และ 69 กรัม สำหรับ Yellow Gold) ราคาเริ่มต้น 395,000-660,000 บาท
ในส่วนสายนาฬิกามีให้เลือกเปลี่ยนได้ตามใจชอบถึง 6 แบบ ได้แก่ Sport Band, Milanese Loop, Classic Buckle, Leather Loop, Modern Buckle และสายสเตนเลส Link Bracalet ราคาเริ่มต้น 1,900-16,900 บาท
***จุดเด่น Apple Watch
เป็นที่ทราบกันดีว่า ขนาดหน้าปัด Apple Watch จะมีให้เลือก 2 ขนาด คือ 38 มิลลิเมตร และ 42 มิลลิเมตร เนื่องจากแอปเปิลมองว่าข้อมือของแต่ละคนเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน การออกแบบหน้าปัดมาให้เลือก 2 ขนาดก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเรือนหน้าปัดที่สมส่วนต่อข้อมือเราได้ลงตัวที่สุด
ส่วนวัสดุกระจกที่ใช้ครอบทับนาฬิกาจะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ รุ่น Watch Sport จะใช้กระจก Ion-X Glass ส่วนรุ่น Watch และ Watch Edition จะใช้ Sapphire crystal ที่มีความแข็งแรง ทนรอยขีดข่วน และการตกกระแทกได้เหนือกว่า Ion-X Glass อีกทั้งตัวหน้าจอยังมาพร้อมเทคโนโลยีรับรู้แรงกด
ด้านหลัง Apple Watch เคลือบด้วยเซรามิกพร้อมเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของ Magnetic MagSafe-style แปะติดด้านหลังก็ถือเป็นนวัตกรรมการชาร์จไฟที่แปลกใหม่จากแอปเปิล
จุดที่น่าสนใจของ Apple Watch จะอยู่ที่หน้าจอแบบสัมผัส และปุ่มเม็ดมะยม Digital Crown ที่สามารถใช้งานสอดประสานกันได้ลงตัว เพราะด้วยหน้าจอขนาดเล็ก การใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ เช่น การเลื่อนดูข้อความบางครั้งอาจไม่ถนัด ปุ่มเม็ดมะยมที่หมุนได้รอบตัวจะเข้ามาเติมเต็มส่วนนี้
นอกจากนั้น ระบบแจ้งเตือนด้วยการสั่นยังถูกคิดค้นใหม่ด้วย Taptic Engine ที่ใช้ลักษณะสะกิดข้อมือที่ได้ทั้งความนุ่มนวล และเป็นธรรมชาติกว่าการสั่นเตือนแบบปกติ
***Apple Watch ทำอะไรได้บ้าง
นอกจากฟังก์ชันนาฬิกาบอกเวลาที่มาพร้อม Wirst Detection (เมื่อผู้ใช้ยกแขนมองเวลา หน้าจอจะติดอัตโนมัติทันที) Apple Watch ยังมาพร้อมแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้งเพิ่มเติมจาก AppStore ได้มากกว่า 8,300 แอป โดยแอปพลิเคชันที่มาพร้อมกับเครื่องจะช่วยอำนวยความสะดวกในการลดช่องว่างให้ผู้ใช้ไอโฟน เช่น การโทร.เข้าและรับสายจากนาฬิกา ระบบแจ้งเตือนแบบอัจฉริยะที่สามารถดึงแจ้งเตือนจากไอโฟนมาแสดงที่นาฬิกาเวลาผู้ใช้ไม่สะดวกใช้งานไอโฟน
หรือถ้าแอปใดรองรับกับ Apple Watch ยังสามารถเลือกสั่งงาน หรือตอบโต้ผ่านระบบสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย และยังรองรับระบบแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Dictation) ได้ด้วย เช่น การส่งข้อความ ตอบแชตไลน์ ไปถึงเปิดใช้ผู้ช่วยสิริ (Siri) แล้วสั่งโทร.ออก เล่นเพลง ตรวจสอบสภาพอากาศ หรือสั่งนำทางไปสถานที่ต่างๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการทำงานของนาฬิกาทั้งหมดจะต้องเชื่อมต่อกับไอโฟนตลอดเวลา
ในส่วน Handoff หรือฟีเจอร์ที่ช่วยสลับการใช้งานระหว่างตัวนาฬิกากับไอโฟนให้สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง เช่น การโทร.ออก-รับสาย ผู้ใช้สามารถสั่งงาน และสนทนาผ่านนาฬิกาได้ และเมื่อผู้ใช้ต้องการคุยแบบส่วนตัวด้วยไอโฟนก็สามารถเปิดไอโฟน และสนทนาต่อได้ทันทีโดยที่สายไม่หลุด
ด้านคนรักสุขภาพ Apple Watch มาพร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว Activity Tracker ที่สามารถตรวจวัดจำนวนก้าวเดินในหนึ่งวัน สามารถตรวจจับ และคำนวณแคลอรี ไปถึงสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบอัตโนมัติได้ตลอดทั้งวัน หรือใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างออกกำลังก็สามารถทำได้ ไรวมปถึงระบบแจ้งเตือนเมื่อผู้ใช้นั่งนานเกินไปพร้อมสรุปผลการออกกำลังกายประจำสัปดาห์
สุดท้ายกับแอปที่มากับนาฬิกาส่วนใหญ่จะคล้ายกับบนไอโฟน เช่น ปฏิทิน นาฬิกาปลุก นาฬิกาจับเวลา อีเมล Gallery เป็นต้น โดยการทำงานของแอปเหล่านี้จะเข้ามาเติมเต็มเวลาเราไม่สามารถเข้าใช้งานผ่านไอโฟนได้ แอปที่รองรับกับนาฬิกาทั้งหมดจะเข้ามาช่วยในส่วนเหล่านี้
***Apple Watch นาฬิกาไฮเทค หรือแค่นาฬิกาสุดหรู?
ต้องเรียนตามตรงว่าเสียงวิจารณ์ Apple Watch แตกออกเป็นหลายเสียงมาก เพราะฟีเจอร์การใช้งานแทบไม่แตกต่างจากสมาร์ทวอทช์คู่แข่งที่วางขายก่อนหน้านี้ และยิ่งเมื่อต้องพบกับราคาค่าตัวที่สูง และการผูกมัดด้านการเชื่อมต่อให้ใช้งานได้เฉพาะไอโฟนตั้งแต่รุ่น 5 เป็นต้นไปเท่านั้น ยิ่งทำให้ Apple Watch จึงกลายเป็นได้แค่นาฬิกาสุดหรูที่ต้องเคียงคู่กับไอโฟนรุ่นใหม่ และผู้ใช้ที่เป็นสาวกตัวจริงเท่านั้น
ยิ่งเมื่อต้องพบกับผลทดสอบเรื่องแบตเตอรี่ที่อยู่ได้แค่ 1 วัน ไปถึงระบบภายในทั้งภาคซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ที่ถูกพัฒนามาได้โดดเด่นแต่กลับดึงความสามารถมาใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เช่น ไม่สามารถตรวจวัดการนอนหลับได้ หรือแม้แต่เซนเซอร์ตรวจวัดการเคลื่อนไหว และเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สามารถต่อยอดเป็นเซนเซอร์ตรวจวัดเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย แต่แอปเปิลก็ไม่พัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุม และแสดงผลให้กลายเป็นจุดขาย แถม WatchOS ก็ยังมีจุดอ่อนเรื่องความเสถียรที่ยังไม่ดีพอ โดยเฉพาะการตอบสนองที่ค่อนข้างช้า
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ Apple Watch จึงเป็นได้แค่นาฬิกาสุดหรูที่มาพร้อมฟีเจอร์ซึ่งสมาร์ทวอทช์และฟิตเนสแบนด์หลายยี่ห้อสามารถทำได้ไม่ต่างจากนาฬิกาสุดหรูเรือนนี้ ถ้าไม่รีบร้อนจนเกินไป อยากให้รอ Apple Watch รุ่นที่ 2 หรือรอดูการเปลี่ยนแปลงในด้านระบบปฏิบัติการ WatchOS 2 ก่อน เพราะในรุ่นแรกนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนการทดลองตลาดที่ระบบหลายส่วนยังไม่สมบูรณ์ดีนัก
Company Related Link :
แอปเปิล