สพธอ.เผยภารกิจสอดรับ Digital Economy ตั้งงบ 150 ล้านบาท จับมือ 3 หน่วยงาน สร้างระบบอี-คอมเมิร์ซไทย ตามโมเดลอาลีบาบา ควบคู่การสร้างศูนย์รับเรื่องร้องเรียนหวังระงับข้อพิพาททางออนไลน์ พร้อมเปิดตัวสำนักงานใหม่ด้วยงบลงทุนกว่า 145 ล้านบาท วางระบบไอทีทันสมัย รองรับงานทั้งภาครัฐและเอกชน
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงกว่า 26 ล้านผู้ใช้งาน และมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถึง 48.1 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่กลับพบว่าตัวเลขการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซไม่สูงตามภาพรวม เนื่องจากส่วนหนึ่งมาจากความไม่มั่นใจในการขายสินค้าออนไลน์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ด้วยเหตุนี้ทำให้ สพธอ.กำลังผลักดันโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบขึ้น
โครงการดังกล่าว สพธอ.ได้ร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวบรวมรายชื่อของผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซไทยที่มีอยู่เป็นแสนรายมาคัดกรอง และจัดหมวดหมู่ ลงในเว็บไซต์ Thaiemarket.com ซึ่งเว็บไซต์นี้ สพธอ. จะเป็นผู้พัฒนาระบบให้เป็นเกตเวย์แห่งชาติของอี-คอม เมิร์ซไทย เพื่อทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายเกิดความมั่นใจในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ว่า ต้องได้สินค้าที่มีคุณภาพและทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีตัวตนจริง อีกทั้งยังมีความปลอดภัยในการซื้อขายจากระบบที่ สพธอ.วางไว้ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาส่วนงานศูนย์รับเรื่องร้องเรียนออนไลน์ขึ้นมาเพื่อให้ คำปรึกษาแก่ผู้ประสบปัญหาในการซื้อขายออนไลน์ รวมทั้งจะระงับข้อพิพาททางออนไลน์ต่อไปในอนาคตซึ่งถือเป็นมิติใหม่ที่ประเทศ ไทยไม่เคยมีมาก่อน
“ในเบื้องต้น เราจะเป็นผู้พัฒนาระบบทั้งหมด ด้วยงบลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท และทำหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการคัดกรองผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซของไทย เพื่อให้เว็บไซต์นี้เป็นศูนย์กลางการซื้อขายของออนไลน์ของประเทศไทย คล้ายๆ กับอาลีบาบาของประเทศจีน และหากระยะยาวเมื่อเว็บไซต์เข้าที่ เราก็อาจจะให้เอกชนรายใดรายหนึ่งที่สนใจรับไปบริหารต่อเพื่อให้เว็บไซต์นี้เติบโตอย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ตาม 3 ปีที่ผ่านมา สพธอ.มีประสบการณ์ในการวางระบบหลังบ้านเกี่ยวกับการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาหรือป้องกันระบบความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ให้กับหน่วยงานต่างๆ ด้วย ดังนั้น นับจากนี้บทบาทของสพธอ.ต้องช่วยสนับสนุนและส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยในการทำอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น อันจะสอดคล้องกับนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาลชุดนี้ด้วย
ทั้งนี้ สพธอ.ได้ย้ายสำนักงานใหม่จากเดิมที่อยู่ในศูนย์ราชการมาเป็นอาคารเดอะไนน์ ถนนพระราม 9 ด้วยงบประมาณ 145 ล้านบาท เพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานและพัฒนาระบบไอทีต่างๆ เพื่อรองรับการทำงานขององค์กรโดยในสำนักงานใหม่ประกอบไปด้วยห้องต่างๆ ที่ลงทุนระบบไอทีอย่างทันสมัย อาทิ ห้องสำหรับประชุมแบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ ห้องมอนิเตอร์เพื่อเฝ้าระวังภัยบนโลกออนไลน์โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง 12-13 หน่วยงาน ห้องกู้พยานหลักฐานทางดิจิตอล รวมถึงห้องสัมมนา ซึ่งห้องต่างๆ ที่สร้างขึ้นนี้นอกจากจะรองรับการทำงานขององค์กรและรัฐบาลแล้ว ยังเปิดให้องค์กรเอกชนอื่นๆ เข้ามาใช้บริการด้วยเพื่อให้ สพธอ.มีรายได้เข้าองค์กร โดยคาดว่าภายในปีแรกจะมีรายได้ 20 ล้านบาท จากการเปิดให้บริการดังกล่าวและจากการคิดเงินในบริการไทยเสิร์ซ ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของ สพธอ.และ 2 ปีนับจากนี้ องค์กรจะมีรายได้ 30% ของงบประมาณรัฐซึ่งแต่ละปีจะมีงบประมาณให้ 400 ล้านบาท
Company Related Link :
สพธอ.
CyberBiz Social