xs
xsm
sm
md
lg

โซนี่ ลั่นกลองรบ ชิงที่ 3 สมาร์ทโฟน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แมทธิว แลงก์ รองประธานฝ่ายธุรกิจองค์กร และผู้อำนวยการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย บริษัท โซนี่ โมบายล์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด
ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนหลังจากที่หน่วยธุรกิจโทรศัพท์มือถือของโซนี่ ที่เคยร่วมทุนกับอีริคสัน และได้ซื้อคืนกิจการกลับมาบริหารภายใต้โซนี่ โมบายล์ พร้อมกับการประกาศเลือกระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นระบบหลักที่จะพัฒนาต่อไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โซนี่ กลับมาอย่างแข็งแกร่งในตลาดสมาร์ทโฟน

แมทธิว แลงก์ รองประธานฝ่ายธุรกิจองค์กร และผู้อำนวยการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย บริษัท โซนี่ โมบายล์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันโซนี่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ในตลาดสมาร์ทโฟน กว่า 40 ประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโซนี่

โดยแนวคิดหลักที่โซนี่ต้องการมุ่งเน้นก็คือการสร้างภาพลักษณ์ในส่วนของแบรนด์มือถือให้ขึ้นมาอยู่ในระดับพรีเมียมเช่นเดียวกับแอปเปิลและซัมซุง ด้วยการออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่นำนวัตกรรมในทุกๆภาคส่วนของโซนี่เข้ามารวมอยู่ในสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว เพื่อให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เรือธง ก่อนจะทยอยออกรุ่นย่อยๆ ในการทำตลาดให้ครบทุกไลน์สินค้าต่อไปในอนาคต

สำหรับในตลาดประเทศไทย โซนี่ มองถึงโอกาสที่ผู้บริโภคจะเปลี่ยนจากการใช้งานฟีเจอร์โฟนมาเป็นสมาร์ทโฟน ตอบรับกับการเปิดให้บริการ 3G ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ เพราะอย่างในอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทางโซนี่ก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา

ประกอบกับการที่ทรูมูฟ เอช เริ่มให้บริการ 4G สมาร์ทโฟนของโซนี่ในรุ่นหลังๆ ตั้งแต่ Xperia V เป็นต้นมาก็จะมีรุ่นที่สามารถใช้งานคลื่น 4G บนความถี่ 2100 MHz ได้ หรือถ้าในอนาคตมีการประมูลคลื่น 1,800 MHz สมาร์ทโฟนของโซนี่ที่รองรับ 4G และวางขายอยู่ก็พร้อมใช้งานได้เช่นเดียวกัน

เพียงแต่ในประเทศไทยจะมีความแตกต่างในการทำตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านคือ การที่โซนี่รวมกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาอยู่ด้วยกัน ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ของโซนี่ ไทย กว่า 50% จะมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์ ส่วนที่เหลือก็จะแบ่งกันไประหว่างกล้องดิจิตอล โน้ตบุ๊ก และโทรทัศน์

จุดสำคัญที่โซนี่มองไว้คือการสร้างอีโคซิสเต็มส์ให้แก่ผู้ใช้งาน โดยการนำผลิตภัณฑ์ต่างๆมารวมกัน ซึ่งในประเทศไทยช่องทางตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์จะค่อนข้างแข็งแรงกว่าในกลุ่มตลาดมือถือ ทำให้โซนี่ต้องการนำความแข็งแรงดังกล่าวมาช่วยผลักดันสินค้าในกลุ่มโทรศัพท์ให้กระจายออกไปยังตลาดทั่วประเทศให้มากที่สุด

ซึ่งเมื่อตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆที่ออกมาเข้ามาวางจำหน่าย ก็จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ และโอเปอเรเตอร์ในประเทศไทย ที่จะช่วยให้โซนี่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในตลาดสมาร์ทโฟนได้อย่างมั่นคงต่อไป

"เรารู้ว่าคู่แข่งเป็นอย่างไร ใหญ่แค่ไหน มีเงินทุนหนาอย่างไร แต่โซนี่ก็เชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมนี้มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว อย่างที่เห็นกันอย่างโนเกีย ก็ถูกไมโครซอฟท์ซื้อไป พานาโซนิคเลิกกิจการไป และแน่นอนว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นผลดีกับโซนี่แทบทั้งสิ้น"

ทั้งนี้เป้าหมายหลักของโซนี่ ไทย ในส่วนของธุรกิจมือถือในปีนี้ก็คือการขึ้นเป็นอันดับ 3 ในตลาดสมาร์ทโฟนแบบเบ็ดเสร็จ หลังจากปีที่ผ่านมาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในตลาดแอนดรอยด์โฟนแล้ว ซึ่งคาดการณ์ว่าสถานการณ์ตลาดรวมโทรศัพท์ในปีนี้จะมีมูลค่าราว 5.7 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 37%

นายแลงก์ กล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบันโซนี่จะมองโอกาสเป็นไปได้อยู่ในอันดับ 3 ของตลาดสมาร์ทโฟนในตลาดสำคัญๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายหลักของโซนี่ก็คือการขึ้นเป็นผู้นำ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการก้าวขึ้นไป พร้อมกับมีผลิตภัณฑ์ และระบบนิเวศน์ที่สอดรับในช่วงเวลาที่ถูกต้องด้วย

***นำสิ่งที่ดีที่สุดใส่ใน Xperia Z1

สิ่งที่โซนี่พยายามสื่อสารออกมาในแคมเปญการเปิดตัวของสมาร์ทโฟนที่จะเป็นแฟลกชิปในช่วงปลายปีนี้ก็คือแนวคิด 'Best of Sony' หรือการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของโซนี่เข้ามารวมไว้ภายในสมาร์ทโฟน Xperia Z1 และยังคงสามารถนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆของโซนี่ผ่านเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication)ใต้ชื่อ 'One Touch' ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา

ที่สุดของเทคโนโลยีที่โซนี่หมายถึงในรอบนี้ จะประกอบไปด้วยการนำความสามารถของกล้องดิจิตอลในตระกูลไซเบอร์ช็อต เข้ามาใส่ไว้ใน Xperia Z1 ด้วยการนำเลนส์ G พร้อมเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.3 นิ้ว ที่ให้ความละเอียด 20.7 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นเลนส์ตัวเดียวกับที่ใช้ในกล้องคอมแพกต์ระดับพรีเมียม Cybershot RX II

นอกจากนี้ก็ยังนำเทคโนโลยีการรับภาพ Exmor RS และการประมวลผลภาพ BIONZ ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือในสภาพเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับแอปพลิเคชันที่ใส่มาช่วยเพิ่มความสนุกในการถ่ายภาพอย่างการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 61 รูปใน 2 วินาที หรือการถ่ายภาพเพื่อค้นหาข้อมูลสถานที่ หนังสือ หรือ ไวน์รสเลิศ

ถัดมาก็คือในส่วนของดีไซน์ ซึ่งยังคงใช้การออกแบบที่โซนี่เรียกว่า 'Omnibalance' ที่นำอะลูมิเนียมมาใช้คู่กับกระจกกันรอย ประกบหน้าหลัง โดยมีจุดที่โดดเด่นที่สุดคือเรื่องของการกันน้ำ และกันฝุ่นมาตรฐาน IP 55/58 เช่นเดียวกับในรุ่น Xperia Z Ultra ที่เริ่มวางจำหน่ายไปแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่โซนี่ค่อนข้างภูมิใจคงหนีไม่พ้นในเรื่องของเทคโนโลยีหน้าจอแสดงผล ซึ่งได้นำเทคโนโลยีเดียวกับที่ใช้ในจอบราเวียรุ่นไฮเอนด์มาใช้งานใน Xperia Z1 ในชื่อ Triluminos พร้อมกับเทคโนโลยีแสดงผลภาพ X-Reality ทำให้การแสดงผลที่ได้ออกมามีความคมชัดสูง

เมื่อประกอบรวมเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับหน่วยประมวลผลที่ได้รับความนิยม และถือว่าเป็นรุ่นไฮเอนด์ที่สุดในตอนนี้อย่าง Qualcomm Snapdragon 800 ที่เป็นควอดคอร์ 2.2 GHz ทำให้โซนี่เคลมว่า Xperia Z1 ถือเป็น "สมาร์ทโฟนกันน้ำประสิทธิภาพสูงที่มีกล้องคุณภาพดีที่สุดในขณะนี้"

ในส่วนของราคาจำหน่าย โซนี่ เปิดเผยว่าระดับราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 22,000 - 23,000 บาท ในรุ่น 3G ส่วนในรุ่น 4G จะวางจำหน่ายเอ็กซ์คลูซีฟกับทรูมูฟ เอช ซึ่งจะแพงกว่ากันประมาณ 1,000 บาท และนำเข้ามาจำหน่ายด้วยกัน 3 สีคือ ดำ ขาว และม่วง เริ่มวางจำหน่ายต้นเดือนตุลาคมภายในงานไทยแลนด์ โมบายล์ เอ็กซ์โป 2013 โชว์เคส

***เปิดแนวคิดอุปกรณ์เสริมรูปแบบใหม่

ภายในงานเปิดตัว Xperia Z1 ที่เบอร์ลิน เยอรมนี ช่วงต้นเดือนกันยายน นอกจากในแง่ของตัวเครื่องสมาร์ทโฟนแล้วก็ยังมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริมที่จะทำให้ตัวสมาร์ทโฟนอัจฉริยะมากขึ้นด้วย อย่าง Smart Watch 2 ซึ่งโซนี่ถือเป็นค่ายที่กระโดดลงมาเล่นในตลาดนาฬิกาอัจฉริยะตั้งแต่ปีที่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร

ความสามารถของ Smart Watch 2 หลักๆคือการเพิ่มระบบ NFC เข้าไปเพื่อช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ง่ายขึ้น พร้อมกับแอปพลิเคชันที่รองรับเพื่อแสดงผลบนหน้าจอขนาด 1.5 นิ้ว ที่มีให้เลือกใช้งานหลากหลาย เพราะใช้เวลาในการพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว

ซึ่งจุดที่น่าสนใจหลักๆของ Smart Watch 2 ก็จะอยู่ในแง่ของการแจ้งเตือนต่างๆที่เกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน จะไปปรากฏอยู่บนหน้าจอให้อ่านได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้แทนโทรศัพท์ได้เพราะไม่มีช่องลำโพงและหูฟังเหมือนในซัมซุง Galaxy Gear แต่ก็แลกมาด้วยระบบกันน้ำแทน

นอกจากนี้ก็ยังมีอุปกรณ์เสริมอย่าง 'Lens Style Camera' หรือเป็นเลนส์กล้องที่ผลิตออกมาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นคือ QX 10 และ QX100 ในระดับราคาประมาณ 6,000 บาท และ 15,000 บาทตามลำดับ ซึ่งทางโซนี่ไทยมีแผนจะเปิดตัวในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้

ความสามารถหลักของ QX 10 และ QX 100 คือการที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นเครื่องของโซนี่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และไอโอเอส ที่สามารถใช้งานตัวเลนส์กล้องนี้ได้ ผ่านการเชื่อมต่อไวไฟในแอปพลิเคชันที่โซนี่พัฒนาขึ้นมา

แนวคิดที่น่าสนใจของ Lens Style Camera ก็คือ การที่ผู้ใช้งานใช้สมาร์ทโฟนเป็นช่องมองภาพ โดยสามารถต่อเลนส์ติดไว้กับด้านหลังสมาร์ทโฟน หรือจะแยกชิ้นเลนส์ออกมาถือ หรือวางไว้ในมุมต่างๆ เพื่อสั่งงานผ่านการกดชัตเตอร์บนหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ทันที

ซึ่งจะช่วยให้สามารถบันทึกภาพในบางมุมที่กล้องคอมแพกต์ หรือ ดีเอสแอลอาร์ ไม่สามารถบันทึกได้ และก็เพิ่มความสะดวกด้วยการสั่งงานผ่านระบบไร้สาย ทำให้ไม่จำเป็นต้องกดชัตเตอร์ที่ตัวเลนส์กล้องนั่นเอง

ในแง่ของคุณภาพด้วยความที่ชิ้นเลนส์สามารถบรรจุได้ทั้งเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ และชิ้นเลนส์คุณภาพสูง ทำให้ภาพที่ได้ออกมาไม่ต่างจากกล้องคอมแพกต์ระดับพรีเมียมของโซนี่ในระดับราคาเกิน 20,000 บาทเลย แต่ก็จะขาดไปในส่วนของการตั้งค่ากล้องด้วยตนเองเพราะส่วนใหญ่ระบบจะบังคับให้ใช้โหมดอัตโนมัติมากกว่า

จุดสำคัญที่โซนี่คิดอุปกรณ์เสริมชนิดนี้ขึ้นมาก็คือ ช่วยให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนได้ภาพที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องพกกล้องแยก และสามารถนำรูปที่ถ่ายได้ซึ่งจะมีการบันทึกลงทั้งในหน่วยความจำของตัวเลนส์ และสมาร์ทโฟน จึงช่วยให้สามารถแต่งภาพบนมือถือและแชร์ขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือส่งต่อผ่านช่องทางอื่นๆได้ทันที

Company Related Link :
Sony






กำลังโหลดความคิดเห็น