จับตามวยรองสมาร์ทโฟน แอนดรอยด์แข่งดุ “แอลจี” จัดสมาร์ทโฟนระดับกลาง-บน ท้าชน “โซนี่” หวังชิงที่ 3 ตลาดสมาร์ทโฟนหรือเบอร์ 2 ในระบบแอนดรอยด์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 10% ไล่ตามซัมซุงที่ลอยตัวกอดแชมป์แน่น หลังเปิดเกมครึ่งปีหลังด้วยสมาร์ทโฟนกึ่งแท็บเล็ตหน้าจอใหญ่ ก่อนทยอยนำรุ่นไฮเอนด์เข้าตลาดอีก 2-3 รุ่น ส่วนโซนี่เตรียมส่งแฟบเล็บเข้าไทยปลายสิงหาคม พร้อมสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่พรึ่บ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้ดุเดือดคงหนีไม่พ้นการที่เหล่าโอเปอเรเตอร์เร่งผลักดันการให้บริการ 3G ซึ่งเหมือนเป็นชนวนจุดพลุยอดขายสมาร์ทโฟนให้เหล่าผู้ผลิตแต่ละแบรนด์แย่งชิงกัน จากตัวเลขสมาร์ทโฟนที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ 10 ล้านเครื่อง หรือเทียบเป็นสัดส่วนเกิน 50% ของตลาดรวมโทรศัพท์มือถือที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 14-15 ล้านเครื่อง แต่ถ้ารวมแท็บเล็ตด้วยก็จะขึ้นไปแตะหลัก 20 ล้านเครื่อง
ถ้ามองภาพรวมในตลาดตอนนี้ เจ้าตลาดอย่างซัมซุงถือว่าลอยตัวไปแล้วในแง่ของยอดขาย จากการทำตลาดที่ดุเดือดตลอดทั้งครึ่งปีที่ผ่านมา ตามติดมาด้วยโนเกียที่พลิกฟื้นขึ้นมาจากวินโดวส์โฟนในช่วงระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท จึงเหลือพื้นที่ให้เหล่ามวยรองในตลาดอย่างแอลจี โซนี่ เอชทีซี รวมถึงแบรนด์น้องใหม่ถอดด้ามจากจีนอย่างเลอโนโว แย่งชิงส่วนแบ่งที่เหลือกันไป
โดยในแบรนด์เหล่านี้ จะมีแอลจี และโซนี่ที่ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนไว้ใกล้เคียงกันในระดับ 10% เพื่อหวังขึ้นเป็นเบอร์ 3 ในตลาดสมาร์ทโฟน หรือคิดเป็นเบอร์ 2 ในตลาดแอนดรอยด์โฟนประเทศไทยก็ว่าได้
จากภาพรวมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าทั้ง 2 แบรนด์ปูทางในตลาดสมาร์ทโฟนมาได้ค่อนข้างดี ทั้งในแง่ของการสร้างความเชื่อมั่นในตัวสินค้า สร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างให้แก่ผู้บริโภคที่ไม่ต้องการเหมือนใคร ไปพร้อมๆ กับการสร้างไลฟ์สไตล์การใช้งานที่แตกต่างกัน
นายศิวกร ดำรงภัทร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อิเลคทรอนิคส์ จำกัด ให้ข้อมูลว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มีอัตราการเติบโตกว่า 85% ทั้งในเชิงของมูลค่าและปริมาณเครื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้แอลจีที่ให้ความสำคัญต่อสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นหลักตั้งใจไว้ว่าจะชิงส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มดังกล่าวให้มากที่สุดด้วย 2 ซีรีส์ในผลิตภัณฑ์ตระกูล Optimus คือ L ซีรีส์ และ G ซีรีส์ โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือ L ซีรีส์สำหรับสมาร์ทโฟนในช่วงราคาระดับกลาง และ G ซีรีส์สำหรับตลาดบน
“ปีที่แล้วยอดจำหน่าย L ซีรีส์ในประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อมาถึงในปีนี้แอลจีก็มีการอัปเกรดเครื่องรุ่นใหม่เข้าไปในตลาดด้วยชื่อ L ซีรีส์ 2 ตามด้วยชื่อรุ่น 3, 5 และ 7 เพื่อเข้ามาทำตลาดในระดับกลาง”
ส่วนในตลาดระดับบน แอลจีเริ่มด้วยการปล่อยทีเด็ดในช่วงเวลานี้อย่าง Optimus G Pro ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่อง ประสิทธิภาพสูง ด้วยการตั้งราคาดึงดูดใจที่ 19,900 บาท ซึ่งต่ำกว่ารุ่นไฮเอนด์ของแบรนด์คู่แข่งอย่าง ซัมซุง Galaxy S4 และเอชทีซี One ก่อนที่ในช่วงปลายปีอาจได้เห็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของแอลจีอีก 2-3 รุ่นที่วางตำแหน่งในระดับพรีเมียมเข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม โดยข้อมูลจากเว็บข่าวในต่างประเทศระบุว่า แอลจีจะมีการเปิดตัว Optimus G2 ในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งก็จะเป็นการอัปเกรดพวกหน่วยประมวลผลให้กลายเป็นตัวท็อปอย่าง Qualcomm Snapdragon 800 ที่เป็นควอดคอร์ 2.3 GHz บนขนาดหน้าจอ 5.2 นิ้ว ซึ่งจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น Optimus G เดิม พร้อมๆ กับการขาย Optimus G Pro ในตลาดประเทศไทย
นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันตลาดแอนดรอยด์ในเครื่องระดับราคาต่ำกว่า 1 หมื่นบาทมีสัดส่วนเพียง 40% เท่านั้น ในขณะที่อีก 60% เป็นเครื่องในระดับราคาสูงกว่า 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นเหตุผลหลักให้แอลจีตัดสินใจหยุดทำตลาดในกลุ่มฟีเจอร์โฟน หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ในประเทศไทย และหันมาให้ความสำคัญต่อตลาดแอนดรอยด์เป็นหลัก
ทั้งนี้ ถ้ามองเข้าไปในโครงสร้างธุรกิจของแอลจีในประเทศไทย หรือแม้แต่ในตลาดโลก จะพบว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือมีสัดส่วนรายได้น้อยที่สุดในบริษัท จึงทำให้การตั้งเป้าหมายในช่วงนี้ของแอลจีไม่ค่อยทำการตลาดในเชิงรุกมากสักเท่าใด แต่จะเน้นไปที่การชิงหรือรักษาส่วนแบ่งในกลุ่มลูกค้าเดิมๆ แทน ขณะเดียวกัน เมื่อถามถึงความร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์ หรือรูปแบบการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มีความชัดเจนสักเท่าใด เนื่องจากยังอยู่ในช่วงที่รอให้สมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดให้ครบทุกไลน์ จึงเห็นได้ว่าการทำตลาดในปัจจุบันของแอลจียังคงเน้นที่ตัวผลิตภัณฑ์เป็นหลักเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ส่วนในมุมมองของเบอร์ 2 ในตลาดแอนดรอยด์โฟน หรือเบอร์ 3 ในตลาดสมาร์ทโฟนเมื่อปีที่ผ่านมาอย่างโซนี่ กลับหันมาให้ความสำคัญต่อการคอนเวอร์เจนซ์ของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โซนี่ ที่ผู้ใช้งานอุปกรณ์ไอทีต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้าหากันด้วยระบบ “One Touch Connection” ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากการนำระบบ NFC มาใช้กับซอฟต์แวร์ที่โซนี่พัฒนาขึ้นมา เพื่อให้สินค้าอย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กล้องดิจิตอล และสมาร์ททีวี สามารถเชื่อมต่อเข้าหากันอย่างไร้รอยต่อ
พร้อมกับการสร้างจุดแตกต่างจากผู้นำในตลาด ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถกันน้ำ กันฝุ่น เข้ามาทำตลาดในเครื่องระดับไฮเอนด์ ไปจนถึงในแง่ของการเชื่อมต่อ 4G LTE ที่ทางทรูมูฟ เอช เพิ่งเปิดให้บริการไป ก็มีเครื่องที่รองรับให้ผู้บริโภคได้เป็นทางเลือกในการใช้งาน
นายอิทธิพล พันธุพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ Sony Xperia บริษัท โซนี่ ไทย กล่าวว่า ช่วงตลาดที่โซนี่มีจุดแข็งที่สุดคงหนีไม่พ้นช่วงระดับกลาง-บน เนื่องมาจากผู้บริโภคส่วนหนึ่งรับรู้ถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์โซนี่เดิมอยู่แล้ว ประกอบกับการที่มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายในเกือบทุกช่วงราคา
“โซนี่เคยคิดจะลงไปเจาะตลาดล่าง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มองว่าเป็นตลาดที่ไม่ทำให้เกิดกำไร ทำได้เพียงเพิ่มในแง่ของจำนวนเครื่องมากกว่า ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ แบรนด์ก็ประสบปัญหาเดียวกัน คือถ้านำเครื่องราคาถูกมาขายสุดท้ายก็ขาดทุนอยู่ดี”
รวมทั้งการที่กลุ่มธุรกิจสมาร์ทโฟนของโซนี่เริ่มมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกลุ่มแท็บเล็ตภายใต้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อย่าง Xperia Tablet Z ที่มีความโดดเด่นในแง่ของการดีไซน์ตัวเครื่องที่ทำออกมาได้บางที่สุดในโลก และยังมีความสามารถในการกันน้ำ แม้ว่าจะตั้งราคาเปิดตัวมาที่ 22,900 บาท แต่ก็ยังสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะมีกลุ่มผู้ใช้งานที่มั่นใจในสินค้าโซนี่อยู่
หลังจากนี้โซนี่จะมีการเพิ่มไลน์สมาร์ทโฟนกึ่งแท็บเล็ตในขนาดหน้าจอ 6.4 นิ้ว อย่าง Xperia Z Ultra ที่มีความโดดเด่นเพิ่มเติมนอกจากเรื่องของการกันน้ำ กันฝุ่น คือหน้าจอสามารถนำปากกา ดินสอ หรือวัสดุที่มีปลายแหลมมาใช้แทนปากกาสไตลัสได้ทันที เพื่อเข้ามาเสริมตลาดในช่วงกลางถึงปลายเดือนสิงหาคม ในระดับราคา 2 หมื่นกว่าบาท ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลังทางโซนี่มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เกือบ 10 รุ่น นับรวมกับแท็บเล็ต และแฟบเล็ตทั้งสองที่มีข้อมูลออกมาแล้วด้วย
ขณะเดียวกันก็จะเน้นเพิ่มเติมในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนที่รองรับ 4G ในช่วงระดับราคาตั้งแต่ 11,900-22,900 บาท โดยปัจจุบันสัดส่วนสมาร์ทโฟนระดับกลาง-บนของโซนี่มีอยู่ประมาณ 70-75% ที่เหลือเป็นระดับกลาง-ล่าง
จากข้อมูลทางฝั่งแอลจีที่ระบุว่าปีที่ผ่านมาสมาร์ทโฟนที่ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้วขึ้นไป แต่ไม่ถึง 7 นิ้ว ที่เรียกกันว่าแฟบเล็ต (Phablet) หรือโฟนเล็ต (Phonelet : คำนิยามจากแอลจี) จะมีปริมาณในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 4 แสนเครื่อง ทำให้นอกจากเจ้าตลาดที่เดิมมีไลน์สินค้าอย่าง Galaxy Note ออกรุ่นยิบย่อยอย่าง Galaxy Mega 6.3 และ Galaxy Mega 5.8 เพิ่มขึ้นมา ก็จะมีตัวสอดแทรกอย่าง Optimus G Pro และ Xperia Z Ultra เข้าไปช่วงชิงในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ สื่อจากต่างประเทศหลายๆแห่งก็ยืนยันแล้วว่าจะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่เป็นแฟลกชิปในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มเติมในช่วงเดือนกันยายน ด้วยชื่อสมาร์ทโฟนโค้ดเนม “Honami” หรือที่คาดว่าจะใช้ชื่อในการทำตลาดว่า Xperia i1 ซึ่งมีความโดดเด่นที่ตัวกล้องความละเอียด 20 ล้านพิกเซล หน้าจอขนาด 5 นิ้ว ใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon 800 เช่นเดียวกัน
ในช่วงครึ่งปีหลังถือได้ว่าเป็นนาทีทองที่เวนเดอร์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือทั้งหลายจะเปิดตัวสินค้างัดกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะอันดับ 2 ในระบบแอนดรอยด์ที่ยังเปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นแอลจี หรือโซนี่ก็ตาม