ผู้บริหารเอชพีจากอเมริกาบินมาศึกษาโอกาสทางการตลาดคอนซูเมอร์เกี่ยวกับการพิมพ์ในไทย ก่อนทำตลาดเชิงรุกตามกลยุทธ์พรินต์ 2.0 เชื่อไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ หลังเห็นการใช้งานจากอนาล็อกเป็นดิจิตอลมากขึ้น และเตรียมเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศเข้ามากทำตลาดในประเทศไทย
นายคริสตอฟ เชลล์ รองประธานบริหาร กลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์สำหรับคอนซูเมอร์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวภายหลังการเดินทางมาประเทศไทยว่า จุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ตลาดคอนซูเมอร์จากระดับเวิลด์ไวด์ว่าจะมีการขับเคลื่อนอย่างไร เพราะไทยเป็นตลาดที่สำคัญอีกตลาดหนึ่งของเอชพี เนื่องจากปีที่ผ่านมาตลาดพรินเตอร์โตกว่า 12% ขณะที่ผู้บริโภคก็มีการใช้ดิจิตอล คอนเทนต์มากขึ้น เรียกได้ว่าผู้บริโภคไทยกำลังก้าวไปสู่ดิจิตอลคอนเวอร์เจนซ์
การที่ผู้บริหารเอชพีให้ความสำคัญกับตลาดตรงนี้ เนื่องจากเว็บ 2.0 เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเสิร์ชผ่านเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น การสร้างบล็อกมากขึ้น การใช้ยูทูบ ที่สำคัญการใช้ทราฟฟิกผ่านอินเทอร์เน็ต 1 ใน 3 เป็นการแชร์วิดีโอระหว่างเพื่อน หรือที่เรียกว่าเพียร์ทูเพียร์ เอชพีจึงมองเห็นโอกาสในการที่จะเข้าไปทำตลาดตามนโยบายกลยุทธ์พรินต์ 2.0
ในแง่ของคอนเทนต์ สายตาของผู้บริหารเอชพีต้องการเปลี่ยนการใช้งานคอนเทนต์ของผู้บริโภคจากระบบอนาล็อกที่มีต้นทุนสูง มาใช้ดิจิตอลที่สามารถควบคุมต้นทุน ปัจจุบันเอชพีมีส่วนแบ่งตลาดพรินเตอร์ทั่วโลกสูงสุดคือ 40% แต่มีจำนวนหน้าการพิมพ์งานของคนทั่วโลกแค่ 1.6% เอชพีจึงมองว่าตรงนี้เป็นโอกาสทางธุรกิจ และตลาดแนวโน้มโตอีกมาก
“ถ้ามองในแง่ของการพิมพ์ เป็นแบบอนาล็อกประมาณ 90% แต่การพิมพ์แบบดิจิตอลที่ทำให้ต้นทุนลดลง หากผู้บริโภคหันมาใช้น่าจะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากขึ้น”
ทั้งนี้ จากแคมเปญ “มีอะไรอีกที่คุณต้องการ” ที่เป็นการสะท้อนจากกลยุทธ์พรินต์ 2.0 คืออะไรก็ได้ที่ผู้บริโภคต้องการทำในแง่ระบบดิจิตอล เอชพีจะนำมาตอบสนองอย่างที่ผู้บริโภคต้องการ
สำหรับสิ่งที่ผู้บริหารเอชพีย้ำว่าจะทำให้เอเชียและประเทศไทยให้เกิดผลคือ 1.เรื่องของผลิตภัณฑ์จะปรับเปลี่ยนจากการพิมพ์อนาล็อกไปเป็นดิจิตอล เพื่อให้ต้นทุนถูกลง โดยเอชพีจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาให้บริการ เช่น ออฟฟิศเจ็ท โปร ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ 2.บริการใหม่ๆ เช่น ร้านอัดภาพเอชพีก็จะผลักดันให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การพิมพ์คอนเทนต์ลงเสื้อ แก้ว หรือพื้น ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่วนในไทยอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหน
อีกอย่างคือเรื่องพรินต์ออนไลน์ ที่สามารถจัดทำอัลบั้มรูปตัวเองได้อย่างสะดวก และสามารถสั่งพิมพ์ออนไลน์ และมีการจัดส่งให้ถึงบ้านด้วย นอกจากนี้ ยังมีสมาร์ท พรินต์ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดหน้าเพื่อไม่ให้ภาพตกกรอบ ก่อนจะมีการพิมพ์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีความสะดวกสบายมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศ ผู้บริหารเอชพีเชื่อว่า ในไทยก็ไม่ต่างกันมาก เนื่องจากการทำตลาดของเอชพีจะขายผ่านคู่ค้า ก็จะมีการทำแบบเอ็กซ์คลูซีฟ มีข้อตกลงระหว่างเอชพีกับคู่ค้า ว่าหากทำตามข้อตกลงคู่ค้าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งคู่ค้าแต่ละรายอาจจะไม่เหมือนกันในเรื่องของข้อตกลง
ผู้บริหารเอชพีกล่าวว่า ปัจจุบันประชากรของประเทศไทยมีประมาณ 60 กว่าล้านคน 40 ล้านน่าจะเป็นลูกค้าของเอชพี แต่ขณะนี้มีประมาณ 10 ล้านคน อีก 30 ล้านคนจึงน่าจะเป็นโอกาสโดยเฉพาะต่างจังหวัด หลังเอชพีประสบความสำเร็จและทำได้ดีแล้วในตลาดกรุงเทพฯ
ปัจจัยที่ผู้บริหารเอชพีเชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ทำให้ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพคือ 1.มียอดขายของกล้องดิจิตอลมากขึ้น อย่างปีที่ผ่านมามียอดขายรวมของตลาดนี้ถึง 9 แสนตัว และเป็นกล้องที่มีความละเอียดสูงถึง 9 ล้านพิกเซลขึ้นไป และมีแนวโน้มว่าจะใช้กล้องดิจิตอลที่มีคุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น 2.การใช้มือถือกว่า 89% เป็นเครื่องที่มีกล้องในตัว ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความต้องการในการใช้ดิจิตอล คอนเทนต์มากขึ้น 3.การใช้อินเทอร์เน็ตในไทยก็ยังมีไม่สูงมาก หากเทียบกับจำนวนประชากร เอชพีจึงมีแผนที่จะนำเสนอการใช้งานที่ไม่ใช่เพียงเว็บบอร์ดเพียงอย่างเดียว
Company related links :
HP
นายคริสตอฟ เชลล์ รองประธานบริหาร กลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์สำหรับคอนซูเมอร์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวภายหลังการเดินทางมาประเทศไทยว่า จุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ตลาดคอนซูเมอร์จากระดับเวิลด์ไวด์ว่าจะมีการขับเคลื่อนอย่างไร เพราะไทยเป็นตลาดที่สำคัญอีกตลาดหนึ่งของเอชพี เนื่องจากปีที่ผ่านมาตลาดพรินเตอร์โตกว่า 12% ขณะที่ผู้บริโภคก็มีการใช้ดิจิตอล คอนเทนต์มากขึ้น เรียกได้ว่าผู้บริโภคไทยกำลังก้าวไปสู่ดิจิตอลคอนเวอร์เจนซ์
การที่ผู้บริหารเอชพีให้ความสำคัญกับตลาดตรงนี้ เนื่องจากเว็บ 2.0 เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเสิร์ชผ่านเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น การสร้างบล็อกมากขึ้น การใช้ยูทูบ ที่สำคัญการใช้ทราฟฟิกผ่านอินเทอร์เน็ต 1 ใน 3 เป็นการแชร์วิดีโอระหว่างเพื่อน หรือที่เรียกว่าเพียร์ทูเพียร์ เอชพีจึงมองเห็นโอกาสในการที่จะเข้าไปทำตลาดตามนโยบายกลยุทธ์พรินต์ 2.0
ในแง่ของคอนเทนต์ สายตาของผู้บริหารเอชพีต้องการเปลี่ยนการใช้งานคอนเทนต์ของผู้บริโภคจากระบบอนาล็อกที่มีต้นทุนสูง มาใช้ดิจิตอลที่สามารถควบคุมต้นทุน ปัจจุบันเอชพีมีส่วนแบ่งตลาดพรินเตอร์ทั่วโลกสูงสุดคือ 40% แต่มีจำนวนหน้าการพิมพ์งานของคนทั่วโลกแค่ 1.6% เอชพีจึงมองว่าตรงนี้เป็นโอกาสทางธุรกิจ และตลาดแนวโน้มโตอีกมาก
“ถ้ามองในแง่ของการพิมพ์ เป็นแบบอนาล็อกประมาณ 90% แต่การพิมพ์แบบดิจิตอลที่ทำให้ต้นทุนลดลง หากผู้บริโภคหันมาใช้น่าจะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากขึ้น”
ทั้งนี้ จากแคมเปญ “มีอะไรอีกที่คุณต้องการ” ที่เป็นการสะท้อนจากกลยุทธ์พรินต์ 2.0 คืออะไรก็ได้ที่ผู้บริโภคต้องการทำในแง่ระบบดิจิตอล เอชพีจะนำมาตอบสนองอย่างที่ผู้บริโภคต้องการ
สำหรับสิ่งที่ผู้บริหารเอชพีย้ำว่าจะทำให้เอเชียและประเทศไทยให้เกิดผลคือ 1.เรื่องของผลิตภัณฑ์จะปรับเปลี่ยนจากการพิมพ์อนาล็อกไปเป็นดิจิตอล เพื่อให้ต้นทุนถูกลง โดยเอชพีจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาให้บริการ เช่น ออฟฟิศเจ็ท โปร ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ 2.บริการใหม่ๆ เช่น ร้านอัดภาพเอชพีก็จะผลักดันให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การพิมพ์คอนเทนต์ลงเสื้อ แก้ว หรือพื้น ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่วนในไทยอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหน
อีกอย่างคือเรื่องพรินต์ออนไลน์ ที่สามารถจัดทำอัลบั้มรูปตัวเองได้อย่างสะดวก และสามารถสั่งพิมพ์ออนไลน์ และมีการจัดส่งให้ถึงบ้านด้วย นอกจากนี้ ยังมีสมาร์ท พรินต์ ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดหน้าเพื่อไม่ให้ภาพตกกรอบ ก่อนจะมีการพิมพ์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีความสะดวกสบายมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศ ผู้บริหารเอชพีเชื่อว่า ในไทยก็ไม่ต่างกันมาก เนื่องจากการทำตลาดของเอชพีจะขายผ่านคู่ค้า ก็จะมีการทำแบบเอ็กซ์คลูซีฟ มีข้อตกลงระหว่างเอชพีกับคู่ค้า ว่าหากทำตามข้อตกลงคู่ค้าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งคู่ค้าแต่ละรายอาจจะไม่เหมือนกันในเรื่องของข้อตกลง
ผู้บริหารเอชพีกล่าวว่า ปัจจุบันประชากรของประเทศไทยมีประมาณ 60 กว่าล้านคน 40 ล้านน่าจะเป็นลูกค้าของเอชพี แต่ขณะนี้มีประมาณ 10 ล้านคน อีก 30 ล้านคนจึงน่าจะเป็นโอกาสโดยเฉพาะต่างจังหวัด หลังเอชพีประสบความสำเร็จและทำได้ดีแล้วในตลาดกรุงเทพฯ
ปัจจัยที่ผู้บริหารเอชพีเชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ทำให้ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพคือ 1.มียอดขายของกล้องดิจิตอลมากขึ้น อย่างปีที่ผ่านมามียอดขายรวมของตลาดนี้ถึง 9 แสนตัว และเป็นกล้องที่มีความละเอียดสูงถึง 9 ล้านพิกเซลขึ้นไป และมีแนวโน้มว่าจะใช้กล้องดิจิตอลที่มีคุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น 2.การใช้มือถือกว่า 89% เป็นเครื่องที่มีกล้องในตัว ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความต้องการในการใช้ดิจิตอล คอนเทนต์มากขึ้น 3.การใช้อินเทอร์เน็ตในไทยก็ยังมีไม่สูงมาก หากเทียบกับจำนวนประชากร เอชพีจึงมีแผนที่จะนำเสนอการใช้งานที่ไม่ใช่เพียงเว็บบอร์ดเพียงอย่างเดียว
Company related links :
HP
