ผบ.ตร.เดินหน้าขับเคลื่อนปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ คนต่างด้าวที่เข้ามากระทำผิด และเกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กำชับทุกหน่วยต้องดำเนินการอย่างเต็มที่และบูรณาการทุกภาคส่วน
วันนี้ (9 ส.ค.) มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2568 ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร. , จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) , ผู้ช่วย ผบ.ตร. , รอง จตช. , ผู้บัญชาการทุกหน่วย และข้าราชการตำรวจ เฝ้าฟังทั่วประเทศ โดยเป็นการขับเคลื่อนงานด้านอาชญากรรมที่เกิดขึ้น , งานด้านยาเสพติด ตามนโยบาย No Drugs No Dealers , การปราบปรามเว็บไซต์พนันออนไลน์และอาชญากรรมออนไลน์ , การปราบปรามคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย , การแก้ไขปัญหาด่านตรวจคนเข้าเมืองแนวชายแดนไทย-กัมพูชา , การปราบปรามหนี้นอกระบบ บุหรี่ไฟฟ้า , การปรับแผน มาตรการ และแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (การปรับสถานที่ , อุปกรณ์ป้องกันตัวเจ้าหน้าที่ , เสริมขีดความสามารถ) , การแก้ไขปัญหางานสอบสวนที่ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนจากระดับกองบังคับการลงไปช่วยในระดับสถานีตำรวจ , รายงานสถิติและผลการดำเนินการทางวินัย ตลอดจนผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2567 - 2568
ผบ.ตร. ได้ขับเคลื่อนการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้นโยบาย 15 ข้อ และเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจโดยใช้กลไกสหกรณ์และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริงของตำรวจแต่ละราย นอกจากนี้ ได้รับรายงานจากที่ประชุมว่า สถิติอาชญากรรมฉ้อโกงทางออนไลน์มีสถิติสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้ศปอส.ตร. (บช.สอท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบสวน ปราบปราม จับกุม ตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินให้มีประสิทธิภาพทุกคดี โดยพบว่าคดีออนไลน์เฉลี่ยเกิดขึ้นวันละ 1,100 ราย ค่าเสียหายวันละ 100 ล้านบาท จากการสืบสวนพบศูนย์กลางการกระทำความผิดอยู่ในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นในของประเทศกัมพูชา รวมกว่า 38 แห่ง/จุด สามารถพัฒนาปรับปรุงระบบให้มีการอายัดเงินได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ กำชับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ตรวจสอบ คัดกรองคนต่างด้าวที่เข้า-ออกราชอาณาจักร ต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้บุคคลต้องห้าม บุคคลเฝ้าระวัง เข้ามาในราชอาณาจักร , ตรวจสอบคนต่างด้าวที่อาจแทรกซึมมาก่อเหตุ หรือกระทำการเป็นสายลับ โดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา และให้คงความเข้มและการปฏิบัติทั้งในจังหวัดตากและจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้พัฒนาต่อยอดกล้องตรวจจับใบหน้าตามหมายจับ (AI Police Cyborg) ขยายไปยังพื้นที่ทุกภาคทั่วประเทศ
ทั้งนี้ กำชับการปฏิบัติ 9 ข้อ ดังนี้
1. ด้านยาเสพติด ให้ดำเนินการเชิงรุก ค้นหาผู้ค้าและผู้เสพทุกตารางนิ้ว ขยายผลในทุกมิติ โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ (ผู้บัญชาการ , ผู้บังคับการ , ผู้กำกับการ) ต้องรับผิดชอบ
2. ด้านอาชญากรรมออนไลน์ ให้เร่งรัดการดำเนินคดี ออกหมายจับและยึดอายัดทรัพย์สินให้ได้โดยเร็ว เพื่อนำคืนให้กับผู้เสียหาย รวมทั้งคัดกรองคนไทยและคนต่างด้าวที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านทุกราย
3. กรณีคนต่างด้าวที่เข้ามาจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลคนต่างด้าวในพื้นที่ กำชับข้าราชการตำรวจทุกนายต้องไม่ยุ่งเกี่ยว พัวพัน ประพฤติตนไม่เหมาะสมในการขนคนที่ผิดกฎหมาย
4. กำชับกวดขันสถานบริการในพื้นที่รับผิดชอบ ปราบปรามยาเสพติดแหล่งมั่วสุม โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และในสถานศึกษา
5. ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 พบว่าคดีเกี่ยวกับทรัพย์มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงให้สถานีตำรวจนครบาล/สถานีตำรวจภูธร/กองบังคับการตำรวจนครบาล/ตำรวจภูธรจังหวัด พิจารณาปรับแผนตามแต่ละพื้นที่ และแผนประทุษกรรมของผู้กระทำความผิด อาชญากรรมต่าง ๆ
6. กำชับข้าราชการตำรวจต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่กระทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมายเสียเอง โดยเฉพาะความผิดที่เป็นนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ. เช่น การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า พืชกระท่อม กัญชา ฯลฯ
7. ให้ทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา การป้องกันชายแดนประเทศ พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง รักษาความปลอดภัยบ้านเรือนประชาชนและสถานที่อพยพชั่วคราว ตลอดจนการกระทำความผิดที่อาจจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน
8. การสืบสวนตามหมายจับ ให้สืบสวนหมายจับทุกหมาย บริหารจัดการการสืบสวน จับกุม การส่งตัวผู้ต้องหาไปยังสถานีตำรวจ การบริหารงบประมาณที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่
9. ขับเคลื่อนการสร้างวินัยจราจร รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ผบ.ตร. กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกหน่วยที่ได้รับปฏิบัติหน้าที่กันมาในระยะเวลาหนึ่งได้เป็นอย่างดี ขอบคุณกองวินัยที่ได้พัฒนาระบบงานวินัย , โรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ได้รับรางวัลทางวิชาการและการแข่งขันทางไซเบอร์มาโดยตลอด และสำนักงานกฎหมายและคดีในการเสวนาการแก้ไขงานสอบสวนที่จะแก้ไขปัญหาได้อาจจะต้องใช้ในระยะเวลาหนึ่ง
พร้อมกันนี้ ผบ.ตร. ฝากเตือนประชาชนคนไทยอย่าไปร่วมขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะกรณีใด หรือการเปิดบัญชีม้า เป็นธุระจัดหาบัญชีม้า เพราะตำรวจจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกรายและมีอัตราโทษสูง เช่นที่ผ่านมา ศาลได้พิพากษากรณีแก๊งธุระจัดหาฯ และบัญชีม้า คนไทย 6 ราย ข้อหา “อั้งยี่ ซ่องโจร ฉัอโกง , ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราบปรามการมีส่วนร่วมใบองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ , ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการพ่อกเงิน และความผิดต่อพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” จำคุกสูงสุดถึง 119 ปี 234 เดือน
นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า ในข้อปฏิบัติที่สั่งการทุกเรื่อง ให้ทุกหน่วย ทุกพื้นที่ ดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ (ผู้บัญชาการ , ผู้บังคับการ , ผู้กำกับการ) ดูแลควบคุมการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด หากปล่อยปละละเลยจะมีการคาดโทษเอาผิดกับผู้บังคับบัญชา และจะพิจารณาโดยนำผลการปฏิบัติงานในแต่ละด้านไปใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายวาระการแต่งตั้งที่ใกล้ห้วงเดือนกันยายนและตุลาคม 2568 นี้ และหากพบว่ามีข้าราชการตำรวจรายใดไปพัวพัน ยุ่งเกี่ยว ประพฤติตนไม่เหมาะสม จะดำเนินการทั้งในทางอาญา วินัย และทางปกครองโดยเด็ดขาดทันที