ศบ.ทก.แถลงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตึงเครียดขึ้น จึงเพิ่มมาตรการควบคุมชายแดน 7 จังหวัด ยันไทยไม่มีนโยบายงดส่งออกน้ำมัน ที่ผ่านมา เป็นเพียงความเห็นจากภาคส่วนอื่น ความเดือดร้อนที่ชาวกัมพูชาประสบอยู่ เป็นผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชาเอง จ่อเพิ่มมาตรการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ยกระดับตัดเน็ต หยุดส่งทรัพยากรให้อาชญากรรมออนไลน์ ยืนยันไม่มีนโยบายขับไล่แรงงานกัมพูชา แต่ถ้าจะกลับประเทศก็เป็นสิทธิ ไทยพร้อมนำแรงงานสัญชาติอื่นมาแทน
วันนี้ (23 มิ.ย.) เมื่อเวลา 18.00 น. ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้แถลงข่าวประจำวัน โดย นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะโฆษก ศบ.ทก.แถลงว่า ประเด็นแรก รัฐบาลยังคงยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการปิดด่านหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าจุดผ่านด่านถาวร
ทุกด่านยังคงทําเปิดทําการปกติ แต่จะมีการจํากัดการผ่านแดนให้บุคคลที่มีเหตุจําเป็นและจํากัดวันเวลาในการเข้าออก ซึ่งเป็นการบังคับใช้มาตรการขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จากที่มีทั้งหมด 4 ขั้น ตามที่ได้เคยเรียนให้ทราบแล้ว ทั้งนี้ ฝ่ายไทยจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาความจําเป็นในการเพิ่มความเข้มข้นของการใช้มาตรการต่างๆ โดยให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
สําหรับกรณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันที่ 21 มิ.ย. 2568 กองทัพภาคที่ 2 ได้มีคําสั่งปรับมาตรการควบคุมจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งไม่ถือเป็นการปิดด่านที่เป็นจุดผ่านแดนถาวร หรือแม้แต่จุดผ่านแดนชั่วคราว
ทั้งนี้ การแบ่งประเภทจุดผ่านแดนแบบต่างๆ มีหลายประเภท จุดผ่อนปรนทางการค้าตามที่ปรากฏในข่าวเป็นจุดในมิติทางเศรษฐกิจ เป็นช่องทางที่รัฐบาลเปิดเพื่อผ่อนปรนให้มีการค้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นเท่านั้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ของประชาชนในระดับท้องถิ่นและช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านในด้านมนุษยธรรม
การปรับมาตรการควบคุมที่จุดผ่อนปรนแห่งนี้เป็นมาตรการที่หน่วยทหารในพื้นที่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่ามีความจําเป็นต้องดําเนินการ จากการประเมินภาพรวมสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ และเป็นมาตรการที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ความตึงเครียด
ในปัจจุบันตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติและการกระทําที่ผิดกฎหมาย อาทิ การหลอกลวงออนไลน์ การลักลอบขนส่งผิดกฎหมาย การลักพาตัว ภายใต้นโยบาย Seal Stop Safe เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายมอบอํานาจให้ในการควบคุมจุดผ่านแดนทุกประเภทให้แก่หน่วยทหารในพื้นที่และเป็นการดําเนินการอดแนวชายแดนฝั่งตะวันออกไทยทั้งหมด
ประเด็นที่ 2 รัฐบาลไทยจริงจังกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือออนไลน์สแกม ทางการไทยได้มุ่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวในฝั่งตะวันตกของประเทศ โดยได้เป็นเจ้าภาพการประชุม 3 ฝ่าย ระหว่างไทย-เมียนมา-จีน เพื่อประสานงานการปราบปรามขบวนการ call center เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งนําไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพอใจ พบการกระทําผิดน้อยลง และเหยื่อจํานวนมากได้รับความช่วยเหลือ
แต่ปรากฏว่า ปัญหาออนไลน์สแกมได้เปลี่ยนพื้นที่มาทําการยังฝั่งตะวันออกของประเทศมากขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ โดยได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและดําเนินการปราบปรามผู้กระทําผิด และที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับสํานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ United Nations Office on Drugs and Crime - UNODC รวมทั้งผ่านการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะออนไลน์สแกม จึงถือเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะได้พิจารณามาตรการที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต่อไป
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และได้ประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยไทยอาสาเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และจะประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งนอกเหนือจากการจํากัดบุคคลและวันเวลาเปิดปิดด่านที่ได้กล่าวไปแล้ว รัฐบาลจะดําเนินมาตรการที่เข้มข้นขึ้น อาทิ การระงับอินเทอร์เน็ต และการระงับการส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ
ดังนั้น จากนี้ไป ศบ.ทก.จะเชื่อมโยง หรือ synchronize การดําเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ กับการบริหารมาตรการชายแดนในภาพรวม
ประเด็นที่ 3 ในส่วนของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานกัมพูชา รัฐบาลไทยจะดูแลสวัสดิการของแรงงานกัมพูชาตามกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ขอยืนยันว่า ไทยไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกัมพูชาออกนอกราชอาณาจักร แต่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของแรงงาน หากแรงงานตัดสินใจเดินทางกลับประเทศย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพของแรงงานเอง โดยทางการไทยได้เตรียมแผนรองรับสําหรับภาคเอกชนไว้แล้ว ด้วยการนํารายงานสํารองจากประเทศอื่นเข้ามาทดแทนเพื่อให้ธุรกิจสามารถดําเนินได้อย่างต่อเนื่อง ขอย้ำอีกครั้งว่าแรงงานกัมพูชายังคงสามารถทํางานในไทยได้ตามปกติ
ประเด็นที่ 4 ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามเอ็มโอยู 2543 อย่างเคร่งครัด ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาที่ว่าฝ่ายไทยละเมิดเอ็มโอยู 2543 ตามที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ อย่างไรก็ดี หากฝ่ายใดเห็นว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดเอ็มโอยู 2543 ก็สามารถใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาได้ เช่น กลไก JBC และ RBC ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกันและลดความตึงเครียดที่มีอยู่
ขอย้ำว่า ฝ่ายไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะดําเนินการเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคี ในขณะเดียวกัน เราจะเพิ่มความเข้มข้นในการดําเนินมาตรการเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย
ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติเป็นประเด็นที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงลําพัง โดยที่ผ่านมา มีการหารือแนวทางแก้ไขปัญหานี้ในกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะยังคงให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกันต่อประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ
ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก.ฝ่ายความมั่นคง แถลงว่า ในห้วงเวลานี้สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ จากวิกฤตการณ์ล่าสุดของกําลังทหารกัมพูชาและการกระทําของบุคคลบางกลุ่มในพื้นที่ชายแดนซึ่งได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทย ทั้งในลักษณะการเดินลาดตระเวนติดอาวุธ การดัดแปลงที่มั่นทางทหารและการกระทําที่สื่อถึงความพยายามยั่วยุ โดยเฉพาะในบริเวณปราสาทตาควาย รวมถึงการปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียวโดยไม่มีการหารือล่วงหน้า
ประเทศไทยตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์และยืนยันอย่างหนักแน่น ว่า ฝ่ายไทยยึดมั่นในหลักสันติวิธีมาโดยตลอด และมีความมุ่งมั่นที่จะ คลี่คลายปัญหาทั้งหมดด้วยกระบวนการเจรจาแบบทวิภาคีบนพื้นฐานของความ เคารพต่ออธิปไตย และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
ในขณะเดียวกัน ไทยยังคงมองพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชาเป็นมิตรเสมอมา เราเข้าใจและแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าพฤติกรรมที่สร้างความตึงเครียดในขณะนี้เป็น ผลจากนโยบายหรือคําสั่งของผู้นําระดับสูงบางคน มิได้สะท้อนเจตจํานงของประชาชนโดยรวม
จากสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งจนบานปลาย รัฐบาลไทย โดยศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก.หรือที่รู้จักกันดีว่าทีมไทยแลนด์ได้ตัดสินใจดําเนินมาตรการควบคุมเพิ่มเติมในบางพื้นที่ บริเวณแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองกําลังป้องกัน ชายแดนครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้วจันทบุรี และตราด
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยและคุ้มครองความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที รวมทั้งมุ่งป้องกันและปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงเครือข่ายหลอกลวงประชาชนผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงินการค้ามนุษย์ การลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมายและยาเสพติด
ขอเรียนว่า มาตรการควบคุมแนวชายแดนที่กําหนดโดยศูนย์เฉพาะกิจบริหาร สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก.นั้น มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่หนึ่ง การจํากัดบุคคลที่สามารถเข้าออกในพื้นที่ ขั้นที่ 2 การจํากัดเปิดจุดผ่านแดน ขั้นที่ 3 การปิดจุดผ่านแดนบางจุด และขั้นที่ 4 การปิดจุดผ่านแดนตลอดแนว
ในขณะนี้ ได้มีการดําเนินการเฉพาะในขั้นที่ 1 และ 2 เท่านั้นยังไม่มีการปิดด่านหรือจุดผ่านแดนถาวร และจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ก่อนการดําเนิน มาตรการในขั้นต่อไป
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้รับทราบว่า รัฐบาลกัมพูชาได้มีการประกาศงดซื้อน้ํามันจากประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชาในหลายพื้นที่
ทั้งนี้ ขอเรียนว่า ประเทศไทยมิได้มีนโยบายห้ามขายน้ำมันให้แก่กัมพูชาแต่อย่างใด ประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นในเวลาที่ผ่านมา เป็นเพียงการแสดงความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ และจากบางสื่อมวลชนเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือนโยบายของรัฐบาลไทย
จึงขอเรียนชี้แจงผ่านไปยังพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชาด้วยว่า ความเดือดร้อนที่ท่านประสบอยู่ในขณะนี้มิได้เกิดจากมาตรการของฝ่ายไทย แต่เป็นผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชาเอง
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาดูแลความปลอดภัย รวมถึงการปกป้องคุ้มครองชุมชนไทยในกัมพูชา
ประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักไมตรี มองประชาชนกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความจริงใจของฝ่ายไทยจะนําไปสู่การเจรจา และการคืนความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนโดยเร็ว
ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกการดําเนินการของฝ่ายไทยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ยึดหลักแห่งสันติสติ และความรอบคอบไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่ยืนหยัดปกป้องศักดิ์ศรีของชาติอย่างสง่างาม
ขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใย และขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ในการร่วมกันรักษาความสงบ รัฐบาลยืนหยัดเคียงข้างประชาชน และจะไม่ยอมให้สถานการณ์ใดๆ บั่นทอนความมั่นคงและศักดิ์ศรีของ แผ่นดินไทย