MGR Online - “ดีเอสไอ” เปิดปฏิบัติการตรวจค้น 2 จุด ย่านดอนเมือง ขบวนการลักลอบนำเข้าซากหมูเถื่อน 161 ตู้ พบเส้นทางการเงินเอี่ยว “จนท.รัฐ” รอสอบชัดเจน
จากกรณี คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีขบวนการนำเข้าเนื้อสุกรแช่แข็ง (คดีพิเศษที่ 59/2566) และดีเอสไอขออำนาจศาลออกหมายจับ 6 ราย จาก 5 บริษัทเอกชนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของนายทุนในการสั่งซื้อเนื้อสุกรเข้ามาในประเทศไทย ความผิดฐาน “หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร โดยเจตนาจะฉ้ออากร ที่ต้องเสียสำหรับของนั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 243 มาตรา 244 และนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์ หรือซากสัตว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 68 ประกอบประมวลฎหมายอาญามาตรา 83” เมื่อวันที่ 19 ต.ค.66 ที่ผ่านมา
วันนี้ (26 ต.ค.) เวลา 09.00 น. พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อน (คดีพิเศษเลขที่ 59/2566) พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกันเปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 2 จุด ซึ่งเป็นของบริษัทแห่งหนึ่ง แบ่งเป็น อาคารเลขที่ 34/20 และอาคารเลขที่ 34/24 ซ.ประชาอุทิศ 13 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและพยานวัตถุเพิ่มเติม ก่อนนำเข้าประกอบสำนวนคดีพิเศษที่ 59/2566
โดยบริเวณด้านหน้าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 34/20 ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 2 คูหา 4 ชั้น อยู่ปากซอยวัดเทพนิมิตต์ แสดงชื่อเป็นป้ายร้านจำหน่ายเนื้อวัว เนื้อสัตว์ และเครื่องในประเภทต่างๆแช่แข็ง ส่วนบริเวณชั้นล่างเปิดเป็นร้านจำหน่ายเบียร์และไวน์ ด้านชั้นบนพบเปิดเป็นลักษณะห้องอาหารและสำนักงาน อีกทั้งบริเวณด้านหลังของอาคารพบว่ามีจุดที่ใช้ในการสไลด์เนื้อสัตว์แช่แข็งและมีการติดตั้งตู้แช่อยู่ภายในอาคารอีกด้วย ในระหว่างการเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอไม่พบเจ้าของอาคาร
จากนั้น เวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ไปตรวจค้นยังจุดเป้าหมายที่ 2 เป็นอาคารพาณิชย์ 1 คูหา 4 ชั้น เลขที่ 30/24 (ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร) ลักษณะเป็นอาคารสำนักงานและมีตู้แช่เนื้อสัตว์อยู่ที่ด้านหลังอาคารอีกจำนวนหนึ่ง โดยในจุดดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบพนักงานจำนวนหนึ่งของบริษัทอยู่ภายใน จึงได้นำกำลังเข้าไปตรวจค้น พร้อมกับนำเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เข้าไปตรวจสอบ เก็บพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารและเนื้อสัตว์แช่แข็ง เพื่อนำไปตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังติดตามอยู่หรือไม่ (คดีหมูเถื่อน 161 ตู้)
ด้าน พ.ต.ต.สุริยา เผยว่า จากข้อมูลการสืบสวนสอบสวนพบว่าบริษัทมีความเกี่ยวข้องกับตู้คอนเทเนอร์ ประมาณ 21 ตู้ จากทั้งหมด 161 ตู้ และคาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งเนื้อหมูแช่แข็งรวมกว่า 100 ตู้ ซึ่งต้องดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังไปยังข้อมูลของตู้คอนเทเนอร์ทั้งหมดและจะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานประกอบเข้ากับสำนวนด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ตู้คอนเทเนอร์ดังกล่าวมักมีการสำแดงเท็จเป็นสินค้าแช่แข็งประเภทอื่น (Frozen Food) แต่ภายในเป็นเนื้อหมูและเนื้อสัตว์เถื่อนที่ลักลอบนำเข้าเข้ามา
“ทั้งนี้ การเข้าตรวจค้นในวันนี้มาจากการขยายผลที่ดีเอสไอได้จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทเอกชน ซึ่งมีการให้การพาดพิงมาถึง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบพยานหลักฐานและเส้นทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงมายังบริษัทแห่งนี้ ดีเอสไอ จึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขอศาลออกหมายจับบุคคล 2 ราย ซึ่งเป็นนายทุนเบื้องหลัง ในความผิดฐาน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร โดยเจตนาจะฉ้ออากร ที่ต้องเสียสำหรับของนั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหา 2 รายในวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัว”
พ.ต.ต.สุริยา เผยอีกว่า นอกจากจะพบว่าเส้นทางการเงินหลังจากที่นายทุนได้สั่งซื้อ มีการโอนไปยังบริษัทชิปปิ้งเอกชนแล้วยังได้มีการโอนเงินไปยังเจ้าหน้าที่รัฐอีกส่วนหนึ่ง โดยมีการติดต่อขอนำเข้าสำแดงสินค้ากับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหนึ่ง ผ่านการดำเนินการกับบุคคลเดิมซ้ำๆ จนเชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ อย่างไรจะต้องตรวจสอบต่อไปเพื่อให้ได้ความชัดเจนว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด
พ.ต.ต.สุริยา เผยต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการสงสัยว่าบริษัทดังกล่าวนี้ จะเป็นพื้นที่กระจายเนื้อหมูเนื้อวัวเถื่อนในดอนเมืองด้วยหรือไม่นั้น เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีร้านบุฟเฟ่ต์ ชาบูหมูกระทะปิ้งย่างเป็นจำนวนมาก ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวมีความเป็นไปได้ เพราะพบว่าภายในบริเวณจุดตรวจค้นมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการสไลด์เนื้อสัตว์แช่แข็งและพบห้องเย็นอยู่ภายในจุดตรวจค้นทั้ง 2 จุดนี้ด้วย นอกจากนี้ ภายในอาคารพาณิชย์จุดแรก ยังพบเนื้อหมูต้องสงสัยจำนวน 20 กล่อง กล่องละ 10 กิโลกรัม รวมน้ำหนัก 200 กิโลกรัม จึงได้ให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์นำกลับไปตรวจสอบว่าเป็นเนื้อหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าหรือมีที่มาจากประเทศใด หรือมีความเชื่อมโยงกับเนื้อหมูเถื่อนภายในตู้คอนเทเนอร์ที่ถูกอายัดไว้ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง หรือไม่
“จากการตรวจสอบย้อนหลัง พบการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนจำนวนกว่า 2,385 ตู้ ทำให้กรมศุลกากรสูญเสียการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากรตู้ละ 500,000 บาท รวมแล้วมากกว่า 1,192 ล้านบาท ซึ่งจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายกับขบวนการที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง รวมถึงผู้ประกอบการรายใดที่รับซื้อเนื้อหมูเถื่อนจากบริษัทต่างๆนี้ ก็จะถูกดำเนินคดีในฐานความผิดเดียวกันและอาจต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายดังกล่าวที่เกิดขึ้นด้วย”
พ.ต.ต.สุริยา เผยว่า ก่อนหน้านี้มีการฝังกลบทำลายแล้ว 20 ตู้ เผา 1 ตู้ รวมทำลายของกลางไปแล้ว 21 ตู้ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว ต.คลองไก่เถื่อน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ดังนั้น ที่เหลืออีก 140 ตู้ ที่จะต้องทำลายที่เดิม ปรากฏว่าได้รับข้อร้องเรียนจากชาวบ้านถึงเรื่องกลิ่นเหม็นเน่า จึงได้มีการประชุมกันใหม่ และลงมติกันว่าจะย้าย 140 ตู้ที่เหลือไปฝังกลบทำลายที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ปราจีนบุรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แทน แต่ทราบข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ว่าชาวบ้านในพื้นที่ต่อต้านการนำเนื้อหมูจำนวนดังกล่าวเข้ามาฝังกลบทำลายเนื่องจากเกรงเรื่องโรคระบาดและกลิ่นเหม็นเน่ารบกวน จึงทราบว่ากรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และพิจารณาเรื่องการฝังกลบทำลายตามขั้นตอน นอกจากนี้ ยังยอมรับว่าทางดีเอสไอและคณะกรรมการทำลายเนื้อหมูเถื่อนได้ตั้งเป้าจะทำลายเนื้อหมูทั้งหมดภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ แต่หากติดปัญหาดังกล่าวก็เชื่อว่าการฝังกลบทำลายน่าจะไม่ทันตามกรอบเวลาที่มีอยู่ จึงอาจพิจารณาขยายกรอบเวลาการทำลายออกไปเพื่อความสบายใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่