xs
xsm
sm
md
lg

โศกนาฎกรรมสุดรัดทด “สังคมร่ำไห้” พ่อลูกผูกคอตายคู หนีความจน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



รายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APPสถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 วันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ โศกนาฎกรรมสุดรัดทด “สังคมร่ำไห้” พ่อลูกผูกคอตายคู หนีความจน



มีคำกล่าวที่สืบทอดกันมานานว่า แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินแห่งความอุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ผู้คนมีน้ำใจไมตรีต่อกัน พร้อมที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือเกื้อกูลแก่คนที่ตกทุกข์ได้ยากหรืออัตคัตขัดสนขาดแคลปัจจัยในการดำรงชีพ ยังผลให้สังคมไทยในอุดมคติเป็นสังคมที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น ไม่มีวันที่จะมีใครต้องสิ้นชีพเพราะความยากจนข้นแค้น

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงของสังคมไทยปัจจุบัน กลับมีเรื่องโศกนาฎกรรมสุดรัดทดเกิดขึ้น สร้างความสะเทือนใจสลดหดหู่ จากกรณีสองพ่อลูกชาวบุรีรัมย์ตัดสินใจจบชีวิตแบบตายคู่พร้อมๆ กัน ด้วยการผูกคอตายในบ้านลักษณะหันหน้าเข้าหากัน บ่งบอกถึงความรักความผูกพันระหว่างคนเป็นพ่อซึ่งอยู่ในวัย 31 ปี กับลูกสาวอายุเพียง 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 ที่สู้ชีวิตมาด้วยกันบนความยากจนอย่างทรหด ต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่ถูกตัดน้ำตัดไฟมากว่า 3 ปี ต้องขายสังกะสีที่เป็นผนังบ้านเพื่อนำเงินมาให้ลูกไปเรียนหนังสือ

จนในที่สุด ความทุกข์ยากที่รุมเร้าเข้ามาทุกทิศทุกทางก็ทำให้หมดสิ้นทั้งแรงกายแรงใจ ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนแผ่นดินนี้

ผู้เป็นพ่อจึงตัดสินใจพาลูกสาวลาโลกเพื่อให้พ้นจากชีวิตอันทุกข์ทรมานแสนสาหัสทั้งที่หากเรื่องราวสุดลำเค็ญของพ่อลูกคู่นี้ถูกค้นพบหรือมีผู้นำไปเผยแพร่บอกกล่าวผ่านโลกโซเชียลให้สังคมไทยรับรู้ ก็เชื่อได้เลยว่า “ธารน้ำใจ” จะต้องหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ ชุบชีวิตใหม่ให้กับคนทั้งสอง

แต่ปาฏิหาริย์นั้นก็ไม่มีสำหรับสองพ่อลูก เราจึงได้รู้เรื่องราวสุดรันทดซึ่งในไม่ช้าก็จะถูกกาลเวลาพัดพาให้จางหายไปตามสัจจธรรม

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวหลายสำนักรายงานตรงกันว่าเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา เกิดเหตุฆ่าตัวตายที่อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นเมืองหลวงของพรรคการเมืองใหญ่และเป็นที่ตั้งของสนามฟุตบอลยักษ์อันโอ่อ่าและสนามแข่งรถระดับโลก

ที่เกิดเหตุฆ่าตัวตายดังกล่าวเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกฟื้นสูง มีสภาพเก่า ใช้สังกะสีเป็นฝ่าบ้าน บริเวณใต้ถุนบ้านดัดแปลงเป็นห้องนอน

เจ้าหน้าที่พบศพนายไพบูลย์ หรือแอ๊ด โจมรัมย์ อายุ 31 ปี และ ด.ญ.มลชยา หรือน้องข้าว อิ่มสุข อายุ 10 ขวบ นักเรียนชั้น ป.4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ใช้เชือกผูกคอยึดกับชื่อบ้าน ลักษณะศพหันหน้าเข้าหากัน สภาพเน่าเปื่อย

แพทย์ตรวจศพนายไพบูลย์ ไม่พบบาดแผลตามร่างกาย ส่วน ด.ญ.มลชยา พบบาดแผลบริเวณศีรษะ 1 แผล คล้ายถูกของแข็งตี คาดเสียชีวิตมาประมาณ 3 วัน บริเวณโดยรอบไม่พบร่องรอยการรื้อค้นทรัพย์สิน หรือร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด

จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่าก่อนที่จะมาพบศพสองพ่อลูก ชาวบ้านได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวประกอบกับไม่เห็นนายไพบูลย์มาหลายวัน เมื่อเดินเข้าไปดูในบ้าน เห็นภาพสุดสลดพ่อลูกผูกคอตายหันหน้าเข้าหากัน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากความยากจน โดยเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เมียนายไพบูลย์หนีไปมีสามีใหม่ ทิ้งลูกสาวไว้ให้เสี้ยง ชีวิตความเป็นอยู่อย่างลำบาก เพราะนายไพบูลย์ป่วยเป็นโรคหอบหืด ไม่สามารถไปรับจ้างทำงานหนัก แต่ละวันจะต้องหาปูหาปลามาเลี้ยงลูกสาว

วันไหนหาปลาได้หลายตัว จะนำไปขายเพื่อนบ้าน นำเงินส่งให้ลูกสาวไปโรงเรียน มีหลายครั้งนายไพบูลย์ต้องไปงัดสังกะสีหลังคาบ้านไปขาย หากไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน

ที่น่าสลดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา บ้านนายไพบูลย์ถูกตัดน้ำตัดไฟเพราะไม่มีเงินไปจ่าย ทำให้สองพ่อลูกต้องอยู่ในความมืดมาโดยตลอด

ก่อนเกิดเหตุเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นนายไพบูลย์เดินไปหาเพื่อนที่บ้าน แต่ไม่พูดจากับใคร ถามก็ไม่ตอบแล้วเดินคอตกกลับบ้าน ก่อนจะเกิดเหตุดังกล่าว

ขณะที่ตำรวจคาดว่า ช่วงก่อเหตุนายไพบูลย์อาจใช้ของแข็งตีหัวลูกสาวจนสลบไปก่อน แล้วใช้เชือกผูกคอจนเสียชีวิตจากนั้นผูกคอตายตามลูกในลักษณะหันหน้าเข้าหากันเหมือนกับต้องการจดจำลูกสาวไว้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต

สิ่งที่น่าสลดใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลักฐานหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบในบ้านก็คือ แบบฟอร์มการขอเงินช่วยเหลือจำนวน 1,500 บาท ซึ่งครูประจำชั้นมอบให้ ด.ญ.มลชยานำมาให้ผู้ปกครอง เพื่อกรอกรายละเอียดซึ่งจะทำให้ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวในกลางเดือนสิงหาคมนี้

แต่นายไพบูลย์กลับเลือกตัดช่องน้อยพาลูกสาวอำลาโลกไปเสียก่อน

ทั้งนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดความยากลำบากของสองพ่อลูกคู่นี้จึงไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสังคม อีกทั้งครูประจำชั้นของ ด.ญ.มลชยาไม่เคยรับรู้มาก่อนหรือว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของตนต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่ถูกตัดน้ำตัดไฟมาตลอด 3 ปี จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สังคมไทยไม่อาจยื่นมือไปช่วยเหลือสองพ่อลูกได้เหมือนที่เคยโอบอุ้มผู้ยากไร้มาแล้วหลายรายดังที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้

จึงต้องฝากไว้กับผู้มีน้ำใจทุกคนว่าหากพบเห็นเพื่อนมนุษย์มีชีวิตอย่างยากลำบากและรอคอยความช่วยเหลือในหลากหลายมิติ ขออย่าได้เมินเฉยนิ่งดูดาย แต่โปรดช่วยกันเผยแพร่แชร์เรื่องราวอันเป็นข้อเท็จจริงให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจและความเมตตาไม่ให้เหตุสลดเหมือนกรณีสองพ่อลูกเมืองบุรีรัมย์เกิดขึ้นอีก

--------------------------
**หมายเหตุ
ดาวโหลดแอป Sondhi App ได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android

สมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้
รายเดือนเพียง เดือนละ 99 บาท
รายปี 990 บาท (10 เดือน แถม 2 เดือน )

ถ้ามีปัญหาการใช้งาน app หรือการสมัครสมาชิกใน app ติดต่อสอบถามได้ที่ Line id : @sondhitalk หรือ https://lin.ee/Skns1k1


กำลังโหลดความคิดเห็น