xs
xsm
sm
md
lg

รวบหนุ่มแดนมังกรผู้ต้องหาคดีโกง 6 พันล้าน หนีกบดานในไทยตั้งแต่ปี 64

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - ตม.รวบหนุ่มแดนมังกรบุคคลทางการจีนต้องการตัว เผย พฤติกรรมแสบหลอกเหยื่อลงทุน เสียหายกว่า 6 พันล้านบาท หนีกบดานในไทยตั้งแต่ปี 64 อีกรายรวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์สัญชาติเกาหลี เปิดบ้าน คอนโดหรูใน จ.เชียงใหม่ เป็นฐานในการกระทำผิด


วันนี้ (8 ธ.ค.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.แถลงผลการจับกุมแก๊งชาวจีน และ เกาหลี แฝงตัวในประเทศไทย ก่ออาชญากรรม ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ

คดีแรก กก.1 บก.สส.สตม.รวบผู้ต้องหาชาวจีนหนีคดีฉ้อโกง ผู้เสียหาย 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย 6 พันกว่าล้านบาท หลังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรณีสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย มีหนังสือขอให้จับกุมและผลักดัน นายเต๋อ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นบุคคลที่ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับและต้องการตัวไปดำเนินคดี ในความผิดฐานฉ้อโกง


โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2557 นายเต๋อ ได้จดทะเบียนและก่อตั้งบริษัท Jiahe โดยไม่มีการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลการเงินฝากสาธารณะ นายเต๋อ ได้แนะนำโครงการลงทุน “Great Health Industry” แก่นักลงทุนโดยการออกใบปลิวของขวัญ การจัดกิจกรรมและทัวร์ฟรี จากนั้นได้ถอนเงินฝากสาธารณะไปอย่างผิดกฎหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ของการทำกำไร ทำให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อ จำนวน 7,704 ราย มูลค่าความเสียหาย 1.27 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.35 พันล้านบาท) และในปี พ.ศ. 2564 นายเต๋อ ได้หนีออกจากท่าอากาศยานนานาชาติประเทศจีน โดยเที่ยวบิน Shanghai-Pudong จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายเต๋อ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2564 ได้รับการตรวจลงตราประเภท THAILAND PRIVILEGE CARD (PE) และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด จึงได้ขออนุมัติ ผบก.สส.สตม. ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีพฤติการณ์สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522


ต่อมาเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ย.สืบสวนทราบว่า นายเต๋อ อาศัยอยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และกรุงเทพฯ และจะเดินทางมาที่อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ จึงได้ดำเนินการติดตามหาตัวนายเต๋อ เมื่อพบตัวจึงได้แจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อกักตัวรอการส่งกลับไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อไป

สำหรับ นายเต๋อ นอกจากเป็นบุคคลตามหมายจับของทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว นายเต๋อ ยังถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐานเป็นบุคคลต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวถือครองที่ดินโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิดท้องที่ สภ.เมืองพัทยา โดยอยู่ในระหว่างได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

คดีที่ 2 กก.1 เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.บก.สส.สตม.รวบผู้ต้องหาชาวเกาหลี OVERSTAY มี INTERPOL Red Notice คดีร่วมกับพวกฉ้อโกง ความเสียหายรวมกว่า 1,600 ล้านบาท จับกุม นายเยจุน (นามสมมติ) อายุ 51 ปี สัญชาติเกาหลี โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณลานจอดรถของคอนโดมิเนียมย่าน ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี หลังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับหนังสือจากกงสุลฝ่ายตำรวจประจำสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย ประสานงานขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการผลักดันนายเยจุน (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับสาธารณรัฐเกาหลีในคดีฉ้อโกง และเป็นบุคคลเป็นที่ต้องการตัวของทางการสาธารณรัฐเกาหลี ตามประกาศตำรวจสากลสีแดง (INTERPOL Red Notice) ที่ A-6937/8-2022 ลงวันที่ 19 ส.ค. 2565 โดยมีพฤติการณ์ในการกระทำผิด กล่าวคือ นายเยจุน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินของกลุ่มบริษัทหนึ่งในสาธารณรัฐเกาหลี ในระหว่างเดือน พ.ย. 2561 ถึงเดือน เม.ย. 2563 ได้ร่วมกับพวก สมรู้ร่วมคิดในการยึดทรัพย์สิน จำนวนเงินรวม 491 พันล้านวอน จากบริษัท 5 แห่ง เช่น Kales Hoidings Inc. Chankhanee Invest Inc. โดยมีการโอนเงินดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาสำหรับวัตถุประสงค์ส่วนตัว และยังสมรู้ร่วมคิดกันโดยให้บริษัท Vivien Inc. เข้าซื้อหุ้นของบริษัท Infinity&T Inc จำนวน 11,307,150 หุ้น โดยราคาซื้อ 5,085 วอนต่อหุ้น รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 62,406 ล้านวอน หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,647 ล้านบาท แล้วหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย

กก.1 บก.สส.สตม.ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สตม.พบว่า นายเยจุน เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2565 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.ผ.90 ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 1 พ.ย.2565 การได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยมีข้อมูลว่าพักอาศัยใน อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จากนั้นได้ประสานงานกับ ตม.จว.ชลบุรี, กก.สส.บก.ตม.3 และ สภ.บางละมุง เพื่อออกสืบสวนติดตามหาตัวนายเยจุน ตามสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จนสืบสวนทราบว่านายเยจุนได้พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมย่าน หมู่ที่ 6 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี

จึงได้ไปตรวจสอบและได้พบผู้ถูกจับ ในเบื้องต้นนายเยจุนไม่มีหนังสือเดินทางแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม เมื่อตรวจสอบข้อมูลกับระบบ Biometrics พบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว และเป็นบุคคลคนเดียวกันกับที่ทางการเกาหลีใต้ต้องการตัว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบว่าเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางละมุง จว.ชลบุรี ดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 3 เมือวันที่ 7 ธ.ค.บก.สส.สตม.ร่วมกับชุด PCT ชุดที่ 1 ปฏิบัติการทลาย 4 จุด แก๊งคอลเซนเตอร์ สัญชาติเกาหลี เงินหมุนเวียนกว่า 50 ล้านบาท โดย บก.สส.สตม.พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร.(PCT) ชุดที่ 1 เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นบ้านและคอนโดหรู โดยใช้หมายค้นของศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าค้นในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอหางดง และ อำเภอสันกำแพง รวมจำนวน 4 จุด โดยเป็นบ้านหรูจำนวน 2 หลัง และคอนโด จำนวน 2 ห้อง ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่าเป็นสถานที่ตั้งของกลุ่มคนเกาหลี ที่ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผลการตรวจค้นได้ทำการจับกุมชาวเกาหลีใต้ จำนวน 5 ราย ประกอยด้วย นาย ลี จอง อายุ 21 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ (ขอสงวนนามจริง) นาย ลี อายุ 44 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ (ขอสงวนนามจริง)นาย จอง อายุ 27 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ (ขอสงวนนามจริง) นาย โน อายุ 31 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ (ขอสงวนนามจริง) และนาย ซัง อายุ 30 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ (ขอสงวนนามจริง) พร้อมของกลาง คอมพิวเตอร์จำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 11 เครื่อง แทปเล็ต จำนวน 4 เครื่อง โทรศัพท์บ้าน จำนวน 7 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 1 และบก.สส.สตม.ได้รับการประสานงานจากแผนกกงสุลฝ่ายตำรวจ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย ขอความร่วมมือจับกุมบุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ผู้มีหมายจับ มีพฤติการณ์จัดตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกบุคคลสัญชาติเกาหลี ซึ่งเคยเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ประเทศจีน ต่อมาได้หลบหนีเข้ามายังประเทศไทย แล้วมาตั้งฐานในการกระทำความผิดเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านทั้งสองหลัง ผู้ถูกจับทั้ง 5 ราย ให้การรับสารภาพว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พากันหลบหนีจากประเทศจีน เพื่อมาตั้งฐานในประเทศไทย โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ จากการตรวจสอบปรากฏรายการเบอร์โทรศัพท์สำหรับการสุ่มโทรมากกว่า 30,000 เบอร์ มีผู้เสียหายจำนวนหลายราย มูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท จึงได้ทำการจับกุมตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.5 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.รอย กล่าวว่า ตามนโยบายและข้อสั่งการ ของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนจึงได้มอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือ ชาวต่างชาติโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด จึงมีการระดมจับกุมผลักดันชาวต่างชาติ ที่เข้ามาในประเทศโดยผิดกฎหมาย มีผลการปฏิบัติการจับกุมเดือน ต.ค.- ธ.ค.กรณีคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด มีการระดมจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ต.ค.มียอดจับกุม จำนวน 719 ราย เดือน พ.ย.มียอดจับกุม จำนวน 328 ราย และเดือน ธ.ค. มีการจับกุม จำนวน 144 ราย และผลการจับกุม กรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง มีผลการจับกุมในเดือน ต.ค.จำนวน 1,357 ราย เดือนพ.ย.จำนวน 786 ราย และเดือน ธ.ค. 65 จำนวน 106 ราย


กำลังโหลดความคิดเห็น