กลุ่ม ศปปส.เข้าแจ้งความตำรวจ สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ฝ่าฝืนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
วันนี้ (14 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ สน.ปทุมวัน กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) นำโดย ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นายอานนท์ กลิ่นแก้ว และ น.ส.วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ พร้อมพวก เข้าพบ พ.ต.ท.เจริญสิทธิ์ จงอิทธิ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ปทุมวัน เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ฝ่าฝืนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
ผศ.ดร.อานนท์ อ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยโดยลงมติ 8 ใน 9 ว่า มีขบวนการเคลื่อนไหวเครือข่ายที่เป็นการล้มล้างการเมืองการปกครองและศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้หยุดการกระทำดังกล่าวในทันที ขบวนการดังกล่าวและเครือข่ายก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งล่าสุด มีกลุ่มทะลุวังและเพจมังกรปฏิวัติ ที่ออกมาลบหลู่ดูหมิ่นสถาบัน แม้เวลาล่วงเลยมากว่าสามเดือน นับแต่วันที่มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 และมาตรา 116 อันเป็นคดีกบฏล้มล้างการปกครอง จึงขอแจ้งเบาะแสการกระทำผิดในคดีกบฏล้มล้างการปกครองแผ่นดินดังกล่าว ให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เร่งดำเนินคดีเพื่อให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบเรียบร้อย และติดตามผลการดำเนินการของ ตร.ในอีกหนึ่งเดือนนับจากวันนี้เป็นต้นไป และหวังจะได้เห็นความคืบหน้าในการดำเนินคดีอย่างชัดเจนและรวดเร็ว
นายอานนท์ กล่าวว่า หลังจากที่แจ้งความกับผู้ต้องหาตาม ม.112 มาเป็นเวลาปีกว่า 50 กว่าคดี ผู้ต้องหาส่วนมากนั้นอายุไม่เกิน 25 ปี ซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับลูกของตน ทุกครั้งที่แจ้งความ ก็ถอดถอนหายใจว่าทำไมเด็กถึงเป็นแบบนี้กันหมด แต่ก็ต้องแจ้งความเพื่อดำรงไว้ซึ่งมาตรา 112 วันนี้ ศปปส. จึงอยากให้คนที่หลงผิดกลับตัวกลับใจและหันมาให้เบาะแสว่าใครเป็นตัวบงการใครเป็นท่อน้ำเลี้ยง
ด้าน น.ส.วริษนันท์ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่ประชาชนตกเป็นเหยื่อกลุ่มที่ให้ร้าย พวกตนมองเด็กเหล่านี้เหมือนลูกหลาน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ถือว่ามีความกล้า แต่น่าเสียดายที่ได้รับข้อมูลที่บิดเบือน และกระทำสิ่งที่ไม่ควร อยากให้หยุด และหันกลับมารักตนเอง ทำหน้าที่ที่ควรทำ และหันกลับไปหาข้อมูลที่ไว้ใจได้ที่สุด ซึ่งก็คือพ่อแม่ ทั้งนี้ เชื่อว่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยยังมีคนที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง หากใครมีเบาะแสว่าใครคือตัวบงการ ใครคือท่อน้ำเลี้ยง ให้ออกมาบอกทางการ พวกตนไม่อยากให้เยาวชนถูกเอาผิด อยากให้ถูกกันออกมาเป็นพยาน ขอให้พูดด้วยข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวถามถึงความมั่นใจในข้อมูลหลักฐานว่ามัดตัวผู้บงการได้ ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวว่า เห็นสำนวนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญของ นายณฐพร โตประยูร ซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากทางราชการ หน่วยงานด้านการข่าวความมั่นคง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีรายชื่อผู้ที่อยู่ในเครือข่าย ทั้งนักวิชาการ นักการเมือง และนายทุน ซึ่งพอเพียงที่จะดำเนินคดีมาตรา 113 และ 116 โดยอาศัยสำนวนฟ้องเดิม เท่าที่ทราบ ฝ่ายความมั่นคงก็ติดตามความเคลื่อนไหวสถานที่เกิดเหตุเหล่านั้นและทำบันทึกไว้หมด หากทำสำนวนให้ดี ก็สามารถระบุตัวการได้ รวมถึงหากเยาวชนที่ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองกลับมาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะเป็นประโยชน์กับรูปคดี
ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวคนหนึ่งที่สงสาร คือ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง เมื่อครั้งที่อ่านประกาศเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 แม้รุ้งจะมีท่าทีแข็งกร้าว แต่ลึกๆ แล้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองอ่าน เมื่อให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ว่า ที่ขึ้นไปอ่านไม่ได้เขียนเองหรือเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีนักวิชาการเขียนมาให้ ตนจึงทราบว่า ตัวบงการ คือ นักวิชาการคนดังกล่าว จึงอยากทำหน้าที่ของคนที่เป็นครู ช่วยเหลือเด็กหลงทาง และเด็กที่ตกเป็นเหยื่อออกมาจากคนที่บังคับขู่เข็ญ อยากให้ตำรวจดำเนินคดีกับตัวบงการ และกันเด็กออกมาเป็นพยาน เพราะตัวบงการยังไปหลอกเด็กให้มาทำผิด โดยที่ไม่โดนดำเนินคดีอะไรเลย ซี่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีบทลงโทษ จึงไม่ทำให้คนที่กระทำความผิดเข็ดหลาบ โดยเฉพาะการหลอกใช้เด็ก อยากให้สื่อมวลชนนำเสนอว่าเด็กตกเป็นเหยื่อและต้องดำเนินคดีกับผู้บงการ เพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามถึงเยาวชนที่มีการศึกษา แต่ยังถูกล่อลวง ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวว่า เมื่อจบมหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ ก็มักจะร้อนวิชา บางครั้งเรียนมาเยอะ ก็ฉลาดแต่ขาดความเฉลียว รวมถึงความอหังการในตัวและต้องการเปลี่ยนแปลง คนที่ฉลาดกว่าก็มักใช้สิ่งนั้นมาใช้งานเด็ก ทั้งนี้ การจับตัวการใหญ่ได้ โดยละเว้นปลาซิวปลาสร้อย ก็ย่อมเป็นประโยชน์และอาจช่วยในการเปลี่ยนใจคนได้