ศาลเเพ่งเลื่อนอ่านอุทธรณ์ คดีทหารวิสามัญ “ชัยภูมิ ป่าแส” นักเคลื่อนไหว อ้างเหตุป้องกันตัว สงสัยเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไปเป็น 26 ม.ค.ปีหน้า เหตุยังทำคำพิพากษาไม่เสร็จ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (26 ต.ค.) ที่ศาลเเพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ พ 2591/2562 ที่ นางนาปอย ป่าแส มารดาของ นายชัยภูมิ ป่าแส นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน ชาวลาหู่ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกองทัพบก เป็นจำเลย ในความผิดละเมิดเรียกค่าเสียหาย กรณีเจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดกองทัพบก ได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ที่บริเวณ ด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2563 ให้ยกฟ้อง พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า พยานโจทก์นำสืบในทำนองเดียวกัน นายชัยภูมิ ผู้ตาย มีผลการเรียนดี เป็นนักกิจกรรมจิตอาสา เคยเป็นประธานนักเรียน ชอบช่วยเหลือครูและเพื่อน มีความกตัญญู ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ส่วนจำเลยไม่รู้จักผู้ตาย โดยทหารพยานจำเลยเบิกความขณะเกิดเหตุตรวจค้นรถ ผู้ตายไม่ยินยอมให้เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศ เมื่อเปิดพบยาบ้า 2,800 เม็ด ผู้ตายหลบหนี ใช้ระเบิดขว้าง ทหารจึงหยิบอาวุธปืนชนิด M-16 ยิงที่แขนซ้าย เพื่อหยุดการกระทำกับเจ้าหน้าที่ พยานจำเลยแจ้งพบบัญชีผู้ตายมีการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงเรื่องยาเสพติด บันทึกการโทรศัพท์เกี่ยวกับผู้ต้องหาคดียาเสพติด พยานจำเลยที่เป็นเพื่อนนักเรียนเชื่อว่า จำเลยน่าจะรู้เรื่องยาเสพติด ประจักษ์พยานไม่พบพิรุธสงสัย พลทหารยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โดยนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ มี นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความและเพื่อนผู้ตาย เดินทางมาศาล ส่วนครอบครัวนายชัยภูมิ ไม่สามารถเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในครั้งนี้ได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
ต่อมาภายหลัง นายรัษฎา กล่าวว่า ศาลเลื่อนฟังพิพากษาอุทธรณ์ออกไปวันที่ 26 ม.ค. 2565 เวลา 08.30 น. เพราะศาลอุทธรณ์ยังทำคำพิพากษาไม่แล้วเสร็จ โดยมีหนังสือแจ้งมาที่ศาลแพ่ง คดีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงนายชัยภูมิ จนเสียชีวิต ที่ด่านตรวจ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อปี 2560 โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารเป็นป้องกันตัวโดยชอบ ทางกองทัพบกอ้างหลักฐาน ว่า นายชัยภูมิ มีอาวุธมีดและระเบิดสังหาร แต่หลักฐานชิ้นสำคัญเป็นกล้องวงจร โดยในสำนวนคดีระบุว่า ที่ด่านมีกล้องวงจรปิดทั้งหมด 9 ตัว ใช้ได้ 6 ตัว ชำรุด 3 ตัว ดังนั้น ควรจะนำมาเปิดเผยทั้งหมด เพื่อจะได้ทราบข้อเท็จจริงและความโปร่งใส
นายรัษฎา กล่าวอีกว่า เรายกข้อต่อสู้ในศาลอุทธรณ์ทุกประเด็น โดยเฉพาะกล้องวงจรปิด ส่วนข้อเท็จจริงที่สงสัยกันว่า วันเกิดเหตุ นายชัยภูมิ ผู้ตาย พกอาวุธไปหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ทหารบางคนบอกว่าเห็นพกอาวุธ บางคนบอกว่าไม่เห็นพกอาวุธ ก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาล ก็จะสู้จนถึงที่สุด เพราะเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าป้องกันตัวในลักษณะนี้ เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะฉะนั้นจะต้องควบคุม กำกับดูแลให้รอบคอบมากกว่านี้ ในส่วนคดีอาญามีการไต่สวนการตายของนายชัยภูมิตามหลักกฎหมายแล้ว ศาลมีคำสั่งว่า นายชัยภูมิ เสียชีวิตจากการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ทหาร เราจึงมาฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย