xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวลึกปมลับ : วาระวัคซีนแห่งชาติ ชี้ขาดชะตา“บิ๊กตู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ตอน วาระวัคซีนแห่งชาติ ชี้ขาดชะตา“บิ๊กตู่”



เบิกฤกษ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับวันประวัติศาสตร์ปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ ตามเป้าหมายฉีดให้ครบอย่างน้อย 100 ล้านโดส ครอบคลุมคนไทยให้ได้ 50 ล้านคน หรือประชากร 70% ของประเทศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ต่อสู้กับไวรัสมรณะให้สำเร็จภายในปี 2564

ตามธรรมเนียมปฏิบัติผู้นำประเทศอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ต้องไปเป็นประธานเปิดคิกออฟการฉีดวัคซีน วาระแห่งชาติ ทั้งที่สถานีกลางบางซื่อ ที่ขณะนี้ถือเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนชั่วคราวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น เขตดินแดง ที่เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่ กทม.

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังหน่วยงานส่วนภูมิภาคอีก 5 จังหวัด ได้แก่ ที่ จ.เชียงใหม่, ชลบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น และภูเก็ต เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้การคิกออฟฉีดวัคซีนในภูมิภาคต่างๆอีกด้วย

โดยมีรายงานว่าบรรยากาศการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศเป็นไปอย่างคึกคัก ภาพรวมมีการเปิดจุดฉีดทั้งหมด 986 จุด มีผู้ที่ได้รับการฉีดที่รายงานเข้าสู่ระบบมากกว่า 3 แสนคน ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้สำหรับวันแรก

อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตาปฏิบัติการปูพรมฉีดวัคซีนหลังจากนี้ว่าจะสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะนับจากวันนี้จนถึงสิ้นปี 2564 ยังเหลือเวลาอีก 200 วันเศษ จากข้อมูลที่ ศบค. หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 รายงานพบว่า ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 5 ล้านโดส ยังเหลือเป้าหมายที่ต้องฉีดอีกถึง 95 ล้านโดส

เท่ากับว่า ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ราว 4.75 แสนโดสต่อวัน จนถึงสิ้นปี 2564 จากสถิติวันแรกของการปูพรมฉีดทั่วประเทศที่ได้ราว 3 แสนโดส ยังคงต้องเร่งสปีดขึ้นอีกพอสมควร

ที่สำคัญเมื่อได้ตามเป้าหมายแต่ละวันแล้ว ก็ไม่สามารถผ่อนคันเร่งได้ โดยก่อนหน้าวันดีเดย์ 7 มิ.ย. มีการฉีดวัคซีนในประเทศไทยมา เฉลี่ยอยู่เพียงวันละราว 5 หมื่นโดสเท่านั้น

แน่นอนว่า ในภาวะเร่งด่วนฉุกเฉินเช่นนี้ บุคลากรทางการแพทย์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ที่จุดวัคซีน ซึ่งทางการกระทรวงสาธารณสุขก็ยืนยันแล้วว่า ระบบและบุคลากรทางการแพทย์ไทยมีศักยภาพในการฉีดได้ถึงวันละ 5 แสน-1 ล้านโดส แต่เงื่อนไขสำคัญคือต้องมีวัคซีน

สำหรับความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มีวัคซีนที่ได้เซ็นสัญญาจัดหาและกำหนดส่งให้แก่ประเทศไทยแล้ว 67 ล้านโดส แบ่งเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกา 61 ล้านโดส ส่วนที่นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ 2 แสนโดสก่อนหน้านี้

และส่วนที่ผลิตในประเทศ โดย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่ส่งมอบแล้ว 1.8 ล้านโดส รวมเป็น 2 ล้านโดส และจะทยอยอย่างต่อเนื่องจนครบตามสัญญา และอีก 6.5 ล้านโดสที่ได้มาแล้วเป็นวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน

ยังขาดวัคซีนที่ต้องจัดหาเพิ่มเติมอีก 33 ล้านโดส สำหรับปี 2564 และอีก 50 ล้านโดสสำหรับปี 2565 ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้ลงนามกับบริษัท จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และบริษัท ไฟเซอร์ เพื่อสั่งจองวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และไฟเซอร์ รวมประมาณ 25 ล้านโดส และจะมีวัคซีนซิโนแวคเข้ามาอีก 8 ล้านโดส แต่ยังอยู่ในระหว่างรอความชัดเจน

ถ้าเป็นไปตามข้อมูลของนายกฯว่าไว้ ก็จะได้ครบ 100 ล้านโดส ตามที่กำหนดภายในปี 2564 ไม่นับรวมวัคซีนทางเลือกอย่าง โมเดอร์น่า ของสมาคมโรฃพยาบาลเอกชน ที่จะเริ่มฉีดช่วงเดือน ต.ค.เป็นต้นไป และวัคซีนซิโนฟาร์ม ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 1 ล้านโดส ที่เป็นทางเลือก และเป็นส่วนเสริมเท่านั้น

ทว่า เมื่อคำนวณวัคซีนที่รัฐบาลไทยมีอยู่ในขณะนี้กว่า 2 ล้านโดสนั้น มีการจัดส่งวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เพื่อใช้ในวันดีเดย์ปูพรม 7 มิ.ย. จำนวน 2.4 แสนโดส ไปยังแต่ละจังหวัดๆ ละ 3,600 โดส ส่วน กรุงเทพมหานคร ที่เป็นศูนย์ใหญ่ และประชากรมาก ได้รับวัคซีน แอสตร้าเซเนก้า มาแล้ว 3.5 แสนโดส และ ซิโนแวค อีก 2 แสนโดส

จะเห็นได้ว่าจำนวนวัคซีนเพียงพอสำหรับทำการปูพรมฉีดได้เพียงไม่กี่วัน หากช่วงสัปดาห์นี้ไม่มีวัคซีนเข้ามาเพิ่มเติม แผนการอาจจะสะดุด เครื่องจะดับทันที ท่ามกลางข่าวว่าหลายจุดฉีดวัคซีนประกาศเลื่อนให้บริการตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. เนื่องจากได้รับวัคซีนไม่เพียงพอ

ก็ต้องติดตามว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจัดหาและบริหารจัดการกระจายวัคซีนเพื่อนำมาปูพรมฉีดให้ได้อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร

เป็นจุดชี้ขาดว่า วาระการฉีดวัคซีนแห่งชาติจะสำเร็จลุล่วงหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากประชาชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว สำคัญที่สุดคือตัว บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ ที่จำเป็นต้องยกระดับการแสดงภาวะผู้นำมากกว่าที่ผ่านมา เพื่อผลักดันการฉีดวัคซีนให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง

ทั้งในฐานะผู้นำประเทศ และในฐานะที่ได้ควบรวมอำนาจในการบัญชาการสู้ศึกโควิด-19 ทั้งหมดมาไว้ที่ตัวเอง
ทั้งยังต้องแสดงความรับผิดชอบ ทั้งการรับผิด และรับชอบ ไม่สามารถหลบอยู่หลังใคร หรือดันคนอื่นมารับหน้า ได้เหมือนที่ผ่านมาในยามเกิดปัญหา

ต้องไม่ลืมว่า หาก ประเทศชาติ และประชาชน อยู่ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีอำนาจล้นมืออย่างไรก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน.


กำลังโหลดความคิดเห็น