สาวงงโดนใบสั่งขับรถเร็ว 4 ใบ ทั้งที่ไม่เคยขับไปแถวนั้น เข้าแจ้งความไว้ ก่อนตำรวจทางหลวงสกัดจับได้เป็นหนุ่มใหญ่สวมแผ่นป้ายทะเบียนปลอม
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 64 พ.ต.ท.ธนศักดิ์ ปราสาททอง สว.ส.ทล.1กก.1 บก.ทล. ร.ต.ท.ประธาน จตุพันธ์ รองสว.ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล. ได้ร่วมกันจับกุม นายสันติชัย ทรัพย์อินทร์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 236 ถนนเทศบาล 2 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พร้อมรถเก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นมิราจ สีดำหมายเลขทะเบียน 1 กข 2394 กรุงเทพมหานคร 2. แผ่นป้ายแสดงการเสียภาษี ประจำปี 2564 หมายเลข 1 ขก 2394 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 แผ่น 3. กุญแจรีโมตรถยนต์ ยี่ห้อ MITSUBISHI จำนวน 1 อัน โดยสามารถจับกุมได้ที่ที่บริเวณ กม.82 ถนนพหลโยธินขาออก ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
ด้าน พ.ต.ท.ธนศักดิ์ ปราสาททอง สว.ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล. กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ผู้ใช้รถยนต์เจ้าของทะเบียน 1 ขก 2394 กทม.ซึ่งเป็นรถเก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นมิราจ สีดำ ได้รับใบสั่งข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงอยุธยา ในพื้นที่ จ.ชัยนาท จ.นครสวรรค์ และ จ.ลพบุรี รวม 4 ใบ ตั้งแต่ต้นปี 2564 เป็นต้นมา โดยเจ้าตัวยืนยันว่า ไม่ได้ขับรถไปในพื้นที่ดังกล่าว คาดว่า รถยนต์ถูกสวมทะเบียน จากนั้นผู้เป็นเจ้าของได้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางปะอิน เพราะเกรงว่าจะมีการทำแผ่นป้ายทะเบียนไปสวมใส่แล้วก่อเหตุร้ายทำให้เกิดความเสียหาย และเข้าให้ข้อมูลของรถยนต์ตนเองกับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงเพื่อนำข้อมูลของรถยนต์คันดังกล่าวเข้าระบบเพื่อเฝ้าระวังติดตามจับกุมรถยนต์คันที่สวมทะเบียน กระทั่งวันนี้สามารถจับกุมไว้ได้ขณะ นายสันติชัย ทรัพย์อินทร์ อายุ 35 ปี ผู้ขับขี่ขับอยู่บนถนนพหลโยธินขาออก กม.82 ต.หนองแค อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยสวมแผ่นป้ายทะเบียนของผู้เสียหาย จึงเรียกให้หยุดรถก่อนควบคุมตัวมาทำการสอบสวนและประสานผู้เสียหายเข้าตรวจสอบโดยผู้ต้องหาให้การว่า ยืมรถเพื่อนมาจาก จ.สระบุรี โดยจะขับไปมา จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ หากท่านใดเป็นผู้เสียหายและถูกสวมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงเพื่อทำการตรวจสอบจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี
ส่วน น.ส.มณฑา สีทอง อายุ 40 ปี ผู้เสียหายบอกว่า รถยนต์มิตซูบิชิรุ่น มิราจ สีดำ สวมทะเบียน 1 ขก 2394 กทม.ตนเองซื้อมามือสองในราคาประมาณ 260,000 บาท และผ่อนชำระกับไฟแนนซ์เป็นเวลา 5 ปี และเริ่มโดนใบสั่งข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงอยุธยา ในหลายพื้นที่ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ขับรถไป จึงแจ้งความไว้ที่สภ.บางปะอิน และเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจทางหลวงอยุธยาเพื่อติดตามจับกุมรถสวมทะเบียน พร้อมกับประสานขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประสานบริษัทไฟแนนซ์เพื่อขอเปลี่ยนทะเบียนใหม่ พร้อมกับชำระค่าขอเปลี่ยนป้ายทะเบียนไปกับบริษัทไฟแนนซ์แล้ว เพราะกลัวความไม่ปลอดภัยหากคนร้ายนำไปก่อเหตุและเกิดความเครียดเป็นอย่างมาก กระทั่งได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงอยุธยา ว่า ได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมรถยนต์ที่สวมทะเบียนเดียวกับรถยนต์ตนเองได้แล้ว จึงเดินทางมาตรวจสอบ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ช่วยเหลือประสานชนและรู้สึกโล่งใจ แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องเปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียนใหม่ เพราะทำเรื่องกรอกเอกสารพร้อมชำระเงินให้กับบริษัทไฟแนนซ์ไปแล้ว
ส่วน นายสันติชัย ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ตนได้ยืมรถเพื่อนมาขับ ซึ่งตนไม่ทราบว่ารถคันนี้เป็นรถที่ถูกสวมทะเบียน จนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงขับรถตาม ตนคิดว่ารถตำรวจทางหลวงจะแซงจึงหลบให้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงประกาศว่าให้หยุดรถ ตนจึงหยุดและทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงแจ้งว่ารถที่ตนขับอยู่นี้เป็นรถสวมทะเบียนและมีผู้เสียหายแจ้งความเอาไว้แล้วจึงมาทราบเรื่องดังกล่าว