“ข่าวลึกปมลับ”ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ตอน เปิดลับ ทีเด็ด เสรีพิศุทธ์ ล่าหลักฐานเชือด “สิระ”
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กับนาย สิระ เจนจาคะ ส.ส.เขตหลักสี่ กรุงเทพ พรรคพลังประชารัฐ ทั้งสองคน เวลานี้ถือว่าเป็น คู่กัดข้าม พ.ศ.และยังนับว่า เป็นมวยถูกคู่ คนดูถูกใจ ไปแล้ว
เพราะสิระก็ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมือง คนหนุ่มจอมซ่าประจำสภาฯยุคนี้ มีบทบาทเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล ทำหน้าที่ดุดัน ชนดะไม่ไว้หน้าใคร ไม่สนใจรุ่นไหนด้วย เมื่อมาเจอบิ๊กตู่ เสรีพิศุทธ์ เจ้านี้ไม่เคยเป็นมวยล้ม แถมลงสนามรบแล้วขยี้ไม่เลิก เดินหน้าจัดหนัก จนกว่าจะเจ๊งกันไปข้าง มวยคู่นี้จึงมีแต่จบแบบเจ็บ ต้องน็อคสถานเดียว ใครดีใครอยู่
แต่ประเมินแล้ว ไฟท์นี้เมื่อโคจรมาปะทะกับรุ่นใหญ่ของจริง สิระตกเป็นฝ่ายตั้งรับทุกกระบวนท่า ที่สถานการณ์น่าจะหนักที่สุด เท่าที่เคยเจอมา คงจะคับขันและลำบากที่สุดด้วย ซึ่งตามเกมสิระต้องเดิมพันด้วยชีวิตทางการเมือง เพราะเรื่องนี้จะชี้ชะตาสิระจะอยู่หรือไป ในอาชีพนักการเมือง
คือเรื่องเก่ากำลังกลับมาหลอกหลอนสิระอีกรอบ เป็นกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยื่นคำร้องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฏร ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายสิระเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามเป็น ส.ส.ตามรัฐธรมนูญ มาตรา 98 (10) หรือไม่
คือกรณี ที่นายสิระเคยถูกศาลแขวงปทุมวัน พิพากษาให้จำคุก กระทำความผิดฐานฉ้อโกง เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
สำหรับมาตรา 98(10)บัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีสิระว่า (10) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัคร ส.ส.
สำหรับเรื่องนี้ ในยกแรกสิระตั้งด่านสกัดไว้ได้ ซึ่งไปทำอย่างไรไม่รู้ ทำให้คำร้องถูกตีตกที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมี ส.ส.พรรคเพื่อไทย บางส่วนกลับลำถอนชื่อ จนคำร้องไม่ถูกต้องตามกฎกติกา ที่การยื่นคำร้องต้องมีส. ส. ร่วมลงชื่อไม่น้อยกว่า หนึ่งในสิบของจำนวนส. ส. ทั้งสภาฯ หรือไม่น้อยกว่า 50 คน
ซึ่งการเดินกลยุทธ์ของสิระ ให้ ส.ส.สิบกว่าคนถอนชื่อ จนคำร้องหมดสภาพที่สมบูรณ์ ถูกตีตกไป มีข้อสังเกตุตามมาว่า การจะเรียก ส.ส.ฝ่ายค้านสิบกว่าคนมาถอนชื่อให้ ลำพังสิระคนเดียวคงทำไม่ได้ ต้องมีผู้ใหญ่มากบารมีฝ่ายสิระออกแรงช่วยเป็นแน่ ซึ่งคงจะออกแรงเต็มที่ และจัดเต็มพิกัดให้ไป
คำร้องสะดุด ทำให้ นายสิระ ได้หายใจโล่งไป เหมือนกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.หลังจากที่เมื่อกลางปี 2563 สิระถูกยื่นวินิจฉัยสถานะจากกรณีก้าวก่าย แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ ในการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต รอบนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 เห็นว่านายสิระไม่มีความผิด
จากฝ่ายตั้งรับ ก็พลิกมาเปิดเกมรุกบ้าง เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสิระ เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ การุณ โหสกุล ส.ส.คนดังแห่งพรรคเพื่อไทย พร้อมพวก 55 คนที่ยื่นถอดถอนตนเองต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปเมื่อ 1 กรกฎาคม 2563 กรณีนายสิระลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต นั่นเอง
นายสิระเลือกที่จะมาแจ้งความเอาเรื่องนายการุณ ทั้งที่คดีจบไปแล้วตั้งหลายเดือน มองกันว่าคงเป็นลีลาเขียนเชือดไก่ให้ลิงดู เนื่องจากระหว่างนั้นมีการประกาศจากฝ่ายค้านแล้ว ว่า กำลังล่าชื่อยื่นคำร้อง เรื่องคดีฉ้อโกงของนายสิระรอบสอง
ศึกเสรีฯ /สิระ กับการกลับมาในยกสอง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากมุมมาพร้อมรายชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านที่ร่วมลงชื่องวดนี้เพิ่ม145 รายชื่อ เผื่อไว้แบบเหลือๆ กับอุบัติเหตุที่จะซ้ำรอยได้ จึงเท่ากับมุกขู่ฟ้องกลับใช้ไม่ได้ผล และปิดทางที่ใช้กลยุทธ์ให้ถอนชื่อเหมือนครั้งแรก หากคิดจะทำก็ไม่หมู
ย้อนกลับไปถึงที่มาที่ไปของ คำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่า นายสิระเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรมนูญ มาตรา 98 (10) จากการที่นายสิระ เคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวัน ว่า กระทำความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เรื่องนี้เคยมีการพูดคุย และนำเสนอกันในพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่หลังเลือกตั้งต้นปี 2562 ใหม่ๆ แต่ไม่ได้มีหลักฐาน
ก่อนจะมีการนำเรื่องมายื่นต่อ คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นประธาน มีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการฯไปเช็คข้อมูลทางลับว่า นายสิระต้องโทษติดคุกด้วยความผิดอะไรยังไง บ้าง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนายสิระใน กมธ.ป.ป.ช. สภาฯมาโดยตลอด จึงรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ โดยมี ทีมงานนักกฎหมายกลายคนช่วย รวมทั้ง นาย เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มือตรวจสอบชื่อดัง อดีตคนของพรรคเพื่อไทย ร่วมเป็นผู้วางประเด็นข้อกฎหมาย
เรื่องนี้ไม่ลึกซึ้ง ยากเกินทำความเข้าใจ ความผิดฐานฉ้อโกงที่ศาลแขวงปทุมวันพิพากษาให้จำคุกนายสิระรวม 4 เดือน เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งอยู่ในหมวด 3 ลักษณะ 12 ของประมวลกฎหมายอาญา
เท่ากับว่านายสิระเป็นบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริต จึงต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10)
แต่แค่รู้ว่า สิระเคยทำผิดและมีโทษจำคุก เรื่องนี้ใครๆก็รู้ มีผู้สมัคร ส.ส.เขตหลักสี่ คนหนึ่ง เคยหาหลักฐานกะจะเล่นงานสิระในช่วงเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าหาไม่เจอ ขนาดเขาเคยเป็นถึงตำรวจมือปราบ สิระเลยรอดมาได้เป็น ส.ส.ชนะการเลือกตั้งเขตหลักสี่
ถ้าจะเอาเรื่องให้น็อคได้ ต้องมีหลักฐานมายืนยัน แต่การหลักฐานเกี่ยวกับคดีสิระไม่ใช่เรื่องหมูๆ เนื่องจากสิระผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติของกกต. มาได้ ก็ไม่ใช่ กกต. ช่วยเหลือ แต่ กกต.ส่งเรื่องไปสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ตำรวจ ราชทัณฑ์ และศาลยุติธรรม ไม่มีหน่วยไหนตอบว่าสิระเคยทำผิดคดีฉ้อโกง
แต่มือปราบชั้นครูอย่างเสรีพิศุทธ์ มาจับเรื่อง ได้ส่งหนังสือไปขอเรื่องเดิมของสิระ ที่ตำรวจกับราชทัณฑ์ อีกครั้ง ก็ได้รับคำตอบเช่นเดิม ไม่มีคดีสิระฉ้อโกง ในฐานข้อมูลของทั้งสองหน่วย เป็นที่น่าประหลาดหลักฐานหายไปจากแฟ้มอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร
ความหวังสุดท้าย เหลืออยู่ที่เดียวคือ ศาล เสรีพิศุทธ์ขอไปที่ศาล ตรวจค้นแล้วเจอตัวคำพิพากษา คดีที่สิระเคยต้องโทษจำคุกจริงๆ จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่นำมาประกอบคำร้องยื่นถอดถอนสิระ ออกจาก ส.ส.
เรื่องนี้ นายสิระไม่ปฏิเสธ แต่อ้างเพียงว่าได้รับการล้างมลทินแล้ว แต่หากสิระขาดคุณสมบัติ ส.ส.ไม่ใช่แค่ต้องพ้นสมาขิกภาพ ส.ส.เท่านั้น นายสิระยังต้องถูกดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 151 กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท
และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปีด้วย รวมทั้งยังต้องถูกทวงค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง และค่าตอบแทนที่ได้รับในช่วงเป็น ส.ส.อีกด้วย
คำร้องรอบใหม่ จ่อถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คงรออีกไม่นาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะขี้ขาดออกมาอย่างไร งานนี้ดูตามรูปคดีแล้ว ไม่มีมวยล้มต้มคนดูแน่