“ข่าวลึกปมลับ”ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ตอน ระทึก! แรงงานเถื่อนพม่า จ่อทะลักเข้าไทย อีกรอบ เสี่ยงได้สิทธิ์อยู่ยาว 2 ปี
ว่ากันคนละที คิดไปคนละทาง ตามคิวที่ นายสาธิต ปิตุเตขะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอให้รัฐบาลบังคับใช้มาตรการล็อคดาวน์ 5 จังหวัด แต่แทบจะทันที กลับถูกเบรกโดยนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รับมุขปิดเมือง ให้กลับไปใช้การควบคุมเข้มข้น ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดแทน
และก่อนที่จะหักหน้ารมช. สาธิต พลเอก ประยุทธ์ก็จัดการรื้อคำสั่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปแล้ว ที่ออกคำสั่งเคอร์ฟิว ห้ามร้านอาหารให้ลูกค้านั่งกินในร้านระหว่างเวลา19.00-6.00 น. นายกฯตู่แก้คำสั่ง ขยับให้ขายกินในร้านได้ถึงสามทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับห้างสรรพสินค้าปิด ช่วยลดความเดือดร้อนร้านอาหารได้มาก
หนึ่งการบอกปัด ไม่เอาด้วยกับรมช. กับอีกหนึ่งรื้อคำสั่งผู้ว่าฯกทม. เป็นสัญญาณที่แสดงว่า ในการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขไม่มีน้ำหนักเหมือนรอบแรกแล้ว
วันนี้ นายกฯตู่ไม่รู้ล้ม จะเลือกเอาเฉพาะมาตรการควบคุม ที่ไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม เห็นได้จาก พอ กทม. ประกาศเคอร์ฟิวร้านอาหาร กระแสสังคมสะท้อนออกมาไม่เห็นด้วย นายกฯก็สั่งแก้ไขทันที เพราะนายกฯเป็นห่วงเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจมากกว่า
ยิ่ง ถ้าหากมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่มีผลกระทบกับสังคมเศรษฐกิจตรงๆชัดๆ พลเอก ประยุทธ์ ก็จะไม่ให้ผ่านเหมือนข้อเสนอล็อคดาวน์พื้นที่สีแดง
ในกรณีข้อเสนอรัฐมนตรีสาธิต ให้ปิดเมือง5 จังหวัด ดูแล้วเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะที่จ. สมุทรสาคร หรือมหาชัย พื้นที่เดียว ประเมินแล้วทำไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ทำไปจะกระทบออกไปถึงภาคใต้ทั้งจังหวัด
เนื่องจาก ถ้าหากล็อคดาวน์มหาชัย ห้ามไม่ให้คนเข้าออก การเดินทางลงภาคใต้โดยทางรถยนต์จะติดล็อคติดทางตัน รวมทั้งหลายจังหวัดพื้นที่เขตติดต่อมหาชัย ที่ต้องเดินทางผ่านถนนพระราม 2 ก็จะถูกหางเลขถูกล็อคตายไปด้วย
ธุรกิจอาหารทะเลที่มหาชัยและจังหวัดชายทะเล จะน็อคไปในทันที ยังจะส่งผลเสียหายมหาศาล ลามไปถึงการค้าด้านอื่น จะพลอยเป็นอัมพาตไปด้วย
การล็อคดาวน์5 จังหวัด เจ็บแล้วจบ จึงเป็นแนวคิดและวิธีการที่สวนทางกับแนวทางการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ของ พลเอก ประยุทธ์ และฝ่ายความมั่นคงที่พยายามสะกดทุกเรื่อง ไม่ยอมให้เรื่องหรือสัญญาณด้านลบออกมา สร้างความแตกตื่นอลหม่านให้ประชาชน
ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวที่พื้นที่มหาชัย คือมีความพยายามจะเปิดตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร แหล่งพบคนป่วยโควิดคนแรกในรอบใหม่นี้แล้ว ให้ฟื้นคืนชีพโดยเร็วอีกครั้ง หลังจากสลบไสลไปเกือบหนึ่งเดือน เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้เกิดความมั่นใจ และจะได้เข็นวงล้อการค้าขายอาหารทะเล ให้หมุนเดินต่อไปเป็นปกติ
โดยในพื้นที่มีการล้างตลาด และคัดแยกคนงานเมียนม่าและคนไทยที่ติดเชื้อโควิด-19 จากตลาดกลางกุ้งออกไปหมดแล้ว เตรียมพร้อมสำหรับจะมีการ แกรนด์ โอเพ่นนิ่ง ในไม่นานนี้
ส่วนการบริหารเหตุการณ์ที่มหาชัย คนติดเชื้อที่เป็นคนงานต่างด้าวชาวอินโดจีน ทั้งหมด ได้แยกไปอยู่ตามที่กักตัวและรักษาที่โรงพยาบาลสนามของรัฐ และตอนนี้มีแฟคตอรี่ คัวรันตีน ที่เอกชนเอาโรงงานมาดัดแปลงเป็นโรงพยาบาลสนาม เพิ่มขึ้นมา ถ้าทำเสร็จทั้งหมด7 แห่ง จะมีเตียง2,000 เตียง
ความคิดเปิดเมืองเผชิญหน้าสู้โควิด-19 ดูเหมือน เป็นการบริหารความเสี่ยง ในภาวะล่อแหลมที่ผลลัพธ์มีได้ มีเสีย แต่ก็ต้องรอการพิสูจน์ว่า ถ้ากล้าเสี่ยงจริงไปแล้วจะไปได้สวย หรือกลายเป็นการซ้ำเติม บ้านเมือง และประชาชนให้บอบช้ำหนักขึ้นไปอีก หรือไม่
อย่างไรก็ดี มีหลักคิดของแพทย์บางกลุ่ม ที่เห็นว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคสิดที่กลายพันธุ์เป็น สายพันธุ์G 614 ไปแล้วนั้น แม้มีความแรงและรวดเร็วในการติดต่อของเชื้อ แต่ก็ไม่อันตรายถึงชีวิต เพราะธรรมชาติเชื้อโรคที่ติดต่อง่ายและเร็ว จะไม่ค่อยมีอันตรายร้ายแรง อาจจะด้วยยึดหลักความคิดเช่นนี้ จึงไม่ต้องใช้มาตรการล็อคดาวน์
แต่เรื่องน่าห่วง ยังมีอยู่ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย คือห่วงว่าจะมีการไล่ทะลัก ถึงขั้นอพยพเข้ามาของแรงงานต่างด้าวจากประเทศเมียนม่า และต่างด้าวลาว กัมพูชาเข้าไทยอีกรอบ
เนื่องจาก ขณะนี้ทางการไทยมึคำสั่งนิรโทษกรรม ไม่เอาผิดกับแรงงานเถื่อน ที่อยู่ในไทย แถมจะให้บัตรสีชมพู ให้อยู่ได้ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นนโยบายควบคุมแรงงานเถื่อนที่มีอยู่ในมหาชัย และที่อื่นๆทั่วประเทศ ที่มีจำนวนหลายแสนคน ไม่ให้คิดหนีเพราะกลัวโดนจับ จะได้สอบสวนตรวจสอบโรคได้ง่าย
โดยการผ่อนผันเรื่องนี้ ครม. อนุมัติไปเมื่อวันที่29 ธันวาคม ปีที่แล้ว ให้ 1) คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน 2) คนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง/สถานประกอบการจ้างงาน และ 3) ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ
คนต่างด้าวทั้ง 3 ประเภทข้างต้น หากดำเนินการตามแนวทางที่ประกาศ จะสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566
นโยบายนี้มุ่งแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่าถูกทาง แต่ขณะเดียวกันนโยบายนี้อาจจะเป็นสิ่งล่อใจให้คนในสามประเทศ เมียนม่า ลาว และกัมพูชาอยากมาทำงานอยู่ประเทศไทย และจังหวะนี้ถือว่าอาจจะมีครั้งนี้ครั้งเดียว ที่จะพลาดโอกาสไม่ได้เด็ดขาด
โดยเฉพาะคนในเมียนม่า ซึ่งมีคนชาติพันธุ์อื่น ที่ไม่ใช่คนเชื้อสายพม่า อยากเข้ามาทำงานในไทย แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเมียนม่า เนื่องจากไทยกับเมียนม่ามีข้อตกลงเรื่องส่งแรงงานมาไทย เฉพาะแต่คนพม่าเท่านั้น คนชาติพันธุ์อื่นที่มาจำนวนมากในเมียนม่า ไม่อยู่ในข่ายการจัดการในระบบกฎหมายอย่างถูกต้อง
พวกคนชาติพันธุ์อื่นเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง มอญ ว่า ไทยใหญ่ โรฮิงจา ที่เข้ามาไทย ล้วนแต่เป็นแรงงานเถื่อนทั้งนั้น ดังนั้นโอกาสนี้เมื่อทางการไทยอ้าแขนรับแรงงานเถื่อนเข้าระบบ ก็เสมือนเป็นนาทีทองให้คนเหล่านี้มุ่งหน้าเข้ามาไทย เพื่อขึ้นทะเบียน เอาบัตรสีชมพู
การเปิดกว้างรับแรงงานเถื่อน ให้เข้ามาจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ในสายตาคนในเมียนม่า เหมือนเห็นสวรรค์รออยู่ข้างหน้าแค่เอื้อมมือถึงแล้ว แค่ก้าวข้ามรั้วพรมแดนไทยเข้ามา ชีวิตก็จะเปลี่ยนได้เลย
สถานการณ์เช่นนี้ ในทางอ้อมก็ทองได้ว่าเป็นเรื่องที่เอื้อประโยชน์ และเข้าทางพวกแก๊งขนแรงงานเถื่อนเข้าไทยอีกรอบ หลังจากที่พาคนเอาเชื้อโรคมาแพร่ในไทย จนเป็นปัญหาใหญ่หลวงอยู่ในวันนี้
เนื่องจาก จะฉกฉวย อาศัยช่องการผ่อนผันให้แรงงานเถื่อนได้อยู่ไทยต่อไปอย่างถูกกฎหมาย เป็นจังหวะให้พวกคนต่างด้าว กรูกันเข้ามาสวมสิทธิ์ ขอลงทะเบียน โดยอ้างเป็นแรงงานเถื่อนที่อยู่มาก่อนพบโควิด-19 ระบาดรอบนี้
คาดว่าจะมีคนจากสามประเทศ มีความต้องการเข้ามาไทยแบบเถื่อนสนิท เถื่อนจริงๆยิ่งกว่าเดิมอีกจำนวนมาก เยอะกว่าทุกช่วง ที่พร้อมยอมจ่ายค่าหัวแพง กว่าเดิมอีกหลายเท่า
ขณะที่ปัญหาการลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้าประเทศ ยังไม่มีการขยับแก้ปัญหาแม้แต่น้อย มีแต่ออกมาปัดความรับผิดชอบ และแก๊งขนแรงงานเถื่อนก็ยังไม่มีใครโดนเล่นงาน แต่ส่วยก้อนใหญ่ลอยมาล่อใจอีกแล้ว
ถ้ารัฐบาลยังไม่เอาจริงกับการปราบปรามแก๊งขนแรงงานเถื่อน เคราะห์กรรมก็จะเข้ามากระหน่ำคนไทยครั้งใหญ่อีกระลอกเป็นแน่