MGR Online - “วัชระ เพชรทอง” ร้อง ผบ.ตร.เอาผิด พงส. กรณีสั่งไม่ฟ้อง “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” น้องชายธนาธร จ่ายเงิน 20 ล้านให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ
วันนี้ (7 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อสอบถามกรณีที่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมี พ.ต.อ.นันพิเดช ศรีเขียวรัตน์ รอง ผบก.สง.ก.ต.ช. เวรอำนวยการ เป็นผู้รับเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาต่อไป
นายวัชระกล่าวว่า สืบเนื่องจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 คดีหมายเลขดำ ที่ อท/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อท/2563 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต เป็นโจทก์ฟ้อง นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) และนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช เป็นจำเลยที่ 1-2
“โดยในคำพิพากษาตอนหนึ่งระบุว่า นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้เงิน 20 ล้านบาท ให้แก่จำเลยทั้งสองรับไว้สำหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดำเนินการติดต่อประสานงานและนำเงินส่วนหนึ่งไปมอบให้รองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ ตามกฎหมายโดยวิธีอันทุจริตและผิดกฎหมายเพื่อจูงใจรองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้กระทำการในหน้าที่ด้วยการจัดสรรที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ให้บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติของการขอเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อันเป็นคุณแก่บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และทำให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เสียประโยชน์ที่จะได้รับเงินจากการประมูลที่สูงที่สุด ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ผู้อื่นและประชาชน”
นายวัชระกล่าวต่อไปว่า ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 143, 264, 265, 268 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/4 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม รวมสองกระทง ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จำคุกกระทงละ 2 ปี ฐานร่วมกันเป็นตัวกลางในการเรียกรับสินบนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี
นายวัชระกล่าวอีกว่า ด้วยเหตุตามคำพิพากษาดังกล่าวนี้ จึงขอให้ ผบ.ตร.สอบสวนพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี และ ผกก.สถานีตำรวจผู้รับผิดชอบ ว่าเหตุใดจึงสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการทางกฎหมายต่อนายสกุลธรอย่างไร