MGR Online - บช.น.วางเงื่อนไข “ม็อบศาลายา-ม็อบเลือกข้างประชาธิปไตย” ชุมนุมในขอบเขต พร้อมแนะเส้นทางเลี่ยง-แนะนำ “รองฯ ต๊ะ” เผยแจ้งข้อหา ม.112 ดูตามพฤติการณ์และบริบท อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบก่อนออกหมายเรียก แนะชายเสื้อชมพูเข้าพบตำรวจเป็นพยานคดี หากมั่นใจไม่ผิดปมยิงที่แยกเกียกกาย พร้อมรับมือชุมนุม 25 พ.ย. หน้า สนง.ทรัพย์สิน ไม่ห้ามแกนนำเข้าพื้นที่ ด้านรองโฆษก ตร.ชี้ ตำรวจไม่จำเป็นต้องติดเครื่องจีพีเอสใต้ท้องรถประชาชน ยอมรับใช้สารเคมีมีผลกระทบแต่ไม่ถึงตาย ถ้าใครจะฟ้องก็เป็นสิทธิ
วันนี้ (22 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น.และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. แถลงความพร้อมมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร กรณีการชุมนุมของกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองในวันที่ 22 พ.ย.
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า มีการแจ้งการชุมนุมในรอบ 24 ชม. ในพื้นที่กรุงเทพฯ 2 กลุ่ม ได้แก่ “กลุ่มภาคีนักศึกษาศาลายา” ได้แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลชุมนุมสาธารณะ สน.ธรรมศาลา รวมตัวบริเวณถนนอักษะ หรือถนนอุทยาน เวลา 16.00-03.00 น.ของวันที่ 23 พ.ย. โดยกำหนดเงื่อนไขและข้อห้ามตาม มาตรา 14, 15 และ 16 คือ 1. ให้ผู้จัดการชุมนุมควบคุมผู้ชุมนุมให้อยู่บริเวณถนนอักษะ และถนนที่ได้แจ้งการชุมนุมเท่านั้น ห้ามเคลื่อนย้ายพื้นที่ชุมนุมโดยเด็ดขาด 2. ห้ามใช้ป้ายข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ยุยง ปลุกระดม หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
3. ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม หรือใช้เส้นทางอื่นที่ไม่ได้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 4. ห้ามใช้เครื่องเสียงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กำหนดไว้ไม่เกิน 115 เดซิเบลเอ และค่าเฉลี่ยตลอด 24 ชม. หรือตลอดการชุมนุมไม่เกิน 70 เดซิเบลเอ และ 5. การชุมนุมต้องเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ กระทำโดยสุจริตไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ไม่กระทบกระเทือนสิทธิในการใช้ที่สาธารณะของบุคคลอื่น ที่สำคัญการชุมนุมบริเวณถนนอักษะ เจ้าพนักงานผู้ดูแลการชุมนุมสาธารณะได้มีข้อกำชับที่สำคัญ คือ ห้ามชุมนุมเกินระยะ 150 เมตรจากเขตพระราชฐานโดยเด็ดขาด
และ “กลุ่มเลือกข้างประชาธิปไตย” ได้แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลชุมนุมสาธารณะ สน.พระราชวัง รวมตัวบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นเคลื่อนตัวไปยังแยกคอกวัว เวลา 12.00-19.00 น. โดยกำหนดเงื่อนไขและข้อห้ามตาม มาตรา 14, 15 และ 16 คือ 1. ให้ผู้จัดการชุมนุมควบคุมผู้ชุมนุมให้อยู่บริเวณบาทวิถีด้านร้านแมคโดนัลล์เท่านั้น กรณีเคลื่อนตัวไปยังแยกคอกวัวให้เดินบนบาทวิถีเท่านั้น ห้ามลงมาพื้นผิวการจราจร หรือกีดขวางการจราจรโดยเด็ดขาด 2. ห้ามใช้ป้ายข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ยุยง ปลุกระดม หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
3. ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม หรือใช้เส้นทางอื่นที่ไม่ได้แจ้งไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ 4. ห้ามใช้เครื่องเสียงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กำหนดอัตราเสียงไม่เกิน 115 เซดิเบลเอ และค่าเฉลี่ยตลอด 24 ชม.หรือตลอดการชุมนุมไม่เกิน 70 เซติเบลเอ 5. การชุมนุมต้องเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ กระทำโดยสุจริตไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ไม่กระทบกระเทือนสิทธิในการใช้ที่สาธารณะของบุคคลอื่น
ส่วนการรับมือการชุมนุมในวันที่ 25 พ.ย.ที่ผู้ชุมนุมประกาศว่าจะไปสำนักงานทรัพย์สินสา่วนพระมหากษัตริย์ ทาง บช.น.ได้มีการประชุมเตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว กรณีแกนนำผิดเงื่อนไขการให้ประกัน หรือปล่อยตัวชั่วคราวของศาล แล้วพนักงานสอบสวนเตรียมพิจารณาเสนอให้ศาลเพิกถอนประกันตัวแกนนำที่ผิดเงื่อนไขทั้งหมด รวมถึงกำหนดห้ามแกนนำเข้าพื้นที่ชุมนุมนั้น โดยขณะนี้ยังไม่มีการห้ามแกนนำเข้าพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้ ตำรวจจะปิดการจราจรเฉพาะเท่าที่มีความจำเป็น ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันเหตุร้าย
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวถึงการแจ้งข้อหา ม.112 ว่า ต้องดูตามพฤติการณ์และบริบทของกลุ่มผู้ชุมนุม หากเข้าข่ายความผิดก็แจ้งข้อกล่าวหาตามนั้น ยืนยันตำรวจให้ความเป็นธรรมและการแจ้งข้อกล่าวหาจะพิจารณาในระดับกองบัญชาการเท่านั้น สำหรับการเตรียมออกหมายเรียกผู้ชุมนุมที่รัฐสภา แยกเกียกกาย และด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจ สน.บางโพ สน.เตาปูน และ สน.ปทุมวัน อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคล จะมากกว่า 30 รายหรือไม่ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่จำนวนตัวเลข สำคัญที่คนกระทำผิดเชื่อว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“โดยความผิดแบ่งเป็นหลายส่วน ได้แก่ จัดการชุมนุมโดยมิชอบ, สมคบกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความไม่สงบเรียบร้อย, หมิ่นประมาท และทำให้เกิดความเสียหายซึ่งทรัพย์สินเอกชน ทรัพย์สินราชการ และทรัพย์สินสาธารณะ” รอง ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่แยกเยกกาย มีชายสวมเสื้อกันฝนสีชมพู คาดว่า เป็นการ์ดของกลุ่มราษฎร ก่อเหตุยิงปืนใส่ผู้ชุมนุมอีกกลุ่มก่อน ภายหลังออกมาแสดงตัวว่าไม่ใช่ตนเอง ว่า หากมั่นใจไม่ได้เป็นคนผิดให้เข้าพบตำรวจ สน.เตาปูน เพื่อเป็นพยานในคดี เพราะในการชุมนุมมีผู้สวมชุดสีชมพูเยอะ จึงต้องพิสูจน์ทราบว่าเป็นคนเดียวกันจริงหรือไม่ การติดตามตัวขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้ตรวจพบปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุหลายชนิด บริเวณรถบัส ตชด.ใกล้แยกเกียกกาย และเลยทางเข้าวัดใหม่ทองเสน ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่เกิน 400 เมตร จุดนี้พบปลอกกระสุนจำนวนมาก
พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวถึงอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ว่า กรณีการชุมนุมบริเวณถนนอักษะ หรือถนนอุทยาน ขอให้หลีกเลี่ยงการจราจรตั้งแต่เวลา 14.00 น. เส้นทางที่อาจได้รับผลกระทบและควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ถนนอุทยาน (แยกพุทธมณฑลสาย 3 ตัดถนนอุทยาน-แยกอุทยาน), ถนนอักษะ (เส้นคู่ขนานของถนนอุทยาน), เลียบคลองทวีวัฒนา (ถนนบรมราชนนี-แยกอุทยาน) และสะพานข้ามแยกอุทยาน เส้นทางที่แนะนำให้ไปใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบได้แก่ ถนนบรมราชชนนี, ถนนพุทธมณฑลสาย 3, ถนนพุทธมณฑลสาย 4, ถนนพุทธมณฑลสาย 5 และถนนเลียบคลองทวีวัฒนา (แยกอุทยาน-เพชรเกษม)
“และกรณีการชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (หน้าร้านแมคโดนัลด์) คาดว่า จะมีการชุมนุมอยู่บนบาทวิถี (ทางเท้า) อย่างไรก็ตาม จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย-แยกคอกวัว อาจได้รับผลกระทบด้านการจราจร สามารถหลีกเลี่ยงโดยใช้ถนนอัษฎางค์ ถนนเจ้าฟ้า สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และสะพานพระราม 8” น.5 กล่าว
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า กรณีแกนนำโพสต์ภาพตำรวจติดตั้งเครื่องติดตามตัว (จีพีเอส) บริเวณใต้ท้องรถ ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน ตำรวจไม่มีความจำเป็นต้องไปติดตามขนาดนั้น ด้านการข่าวตำรวจก็มีวิธีการดำเนินการอยู่แล้ว ส่วนกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจากการใช้สารเคมี รายละเอียดเรื่องใช้สารเคมีประเภทใดบ้าง ภายในสัปดาห์จะมีการชี้แจงโดยละเอียดจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่จัดซื้อจัดหา ย้ำว่า โดยหลักคิดแล้วอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ รวมถึงสารเคมีที่เกี่ยวข้องนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อระงับยับยั้งไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมรุกล้ำเข้ามาในแนวที่ไม่สามารถเข้ามาได้ ในส่วนที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็คงมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลไม่ได้เหมารวม
หากเป็นผลจากสารเคมีแล้วจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมหรือไม่ ยอมรับว่า การใช้สารเคมีมีผลกระทบแน่นอน ตำรวจก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพียงแต่ผลที่ได้รับนั้นจะเป็นผลจากค่าเคมีโดยตรง ก็คงมีความแตกต่างกันระหว่างบุคคลต้องดูในรายละเอียด โดยหลักแล้วเป็นสารเคมีที่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงขั้นสูญเสียชีวิต อาจทำให้รู้สึกร้องไห้น้ำตาไหลจากอาการแสบตา ย้ำมีวัตถุประสงค์ให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นจากแนวที่ได้วางไว้ การรับผิดชอบร่องรอยบาดแผลที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นผลกระทบโดยตรง หรือเกิดจากความประมาทของตำรวจ คงต้องไปดูในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้มีการฝึกซ้อมจนเกิดความชำนาญ โดยยึดหลักกฎหมาย กฎระเบียบ และตามหลักสากล ประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่าตำรวจทำตามขั้นตอน
“กลุ่มผู้ชุมนุมจะมีการฟ้องร้องตำรวจ ในเรื่องการใช้อุปกรณ์ที่รุนแรงเกิดกว่าเหตุ ก็คงไม่ได้ไปตัดสิทธิ เพราะที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องการชุมนุมอย่างเดียว มีเรื่องการฟ้องร้องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจส่วนอื่นด้วย เช่น เจ้าหน้าที่สายตรวจในบางครั้งกลุ่มผู้ที่ถูกจับกุมในเรื่องอื่น อาจมองว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่เกินเลย แต่ก็เป็นเรื่องปกติได้ดำเนินการชี้แจง และฟ้องร้องก็แก้ต่างกันไป” รองโฆษก ตร.กล่าว