MGR Online - ผบ.ตร.ชี้แจงกรณีออกประกาศฉบับที่ 4 ไม่มีเจตนาปิดกั้นสื่อ แต่เป็นการจัดการกับข้อมูลข่าวสารที่มีปัญหา บิดเบือนปลุกปั่น ชี้ เป็นการทำตามกฎหมายและจำเป็นต้องทำ
วันนี้ (19 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีออกประกาศคำสั่งฉบับที่ 4 ของกองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) ว่า กรณีดังกล่าวแล้วอาจทำให้เกิดความสับสนเข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แถลงข่าวไปเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แต่ในส่วนนี้หลายคนอยากฟังจากตนเองในฐานะผู้นำองค์กร ขอเรียนว่าเราปฏิบัติตามกฎหมาย และเมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในนามของ กอร.ฉ. เมื่อมีหน้าที่ต้องทำเราก็จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย ทางหน่วยข่าวรายงานขึ้นมาบอกว่ามีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่อาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายและพัฒนาไปสู่การก่อความไม่สงบเรียบร้อย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า คำสั่งฉบับที่ 4 เป็นการให้จัดการกับข้อมูลข่าวสารบางส่วน ไม่เคยมีนโยบายที่จะไปปิดสื่อ และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย เนื่องจากว่าจะต้องมีการไปออกประกาศกำหนด หลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการในรายละเอียด เพื่อให้หน่วยที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายได้ทำให้เป็นแนวทางและทิศทางเดียวกัน คำสั่งฉบับที่ 4 เป็นคำสั่งให้กระทรวงดีอีเอส และ กสทช.ไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ยังไม่ได้ไปปิดใครทั้งนั้น รายละเอียดกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ ยังไม่ออกมา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การดำเนินการก็ต้องรอว่าเมื่อใดที่จะมีการบังคับใช้
“ข่าวสารชิ้นไหนที่เป็นประเด็นปัญหา เราก็จัดการกับชิ้นนั้น คลิปไหนมีปัญหาก็จัดการกับคลิปนั้น หรือบุคคลใดที่ไปโพสต์ข้อความหรือทำอะไรก็ตามในโลกโซเชียล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่กระจายข่าวได้เร็วมากแล้วเกิดความสับสนวุ่นวาย มีการบิดเบือนยุยงปลุกปั่นก็จัดการกับบุคคลนั้น ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ ไปตามกฎหมาย มีคนถามว่าผู้สื่อข่าวไปไลฟ์สดในสนามได้ไหม ก็ตอบว่าได้เพราะตามสิทธิเสรีภาพของสื่อ เจ้าหน้าที่ทุกคนเข้าใจ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วทั้งสากลโลกก็รับรองสิทธินี้ เพราะฉะนั้นการไลฟ์สดในสนามทำได้ การเสนอข่าวสารทำได้แต่ที่เป็นประเด็นปัญหา” ผบ.ตร.กล่าวและว่า ผมยกตัวอย่าง เช่น มีการถ่ายคลิปไลฟ์สดเห็นผู้ชุมนุมวิ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง คนไลฟ์ก็พูดว่า นี่กำลังถูกไล่ยิงจากเจ้าหน้าที่ อย่างนี้เป็นการเอาข้อเท็จจริงผสมกับการคาดการณ์ของตัวเอง แล้วสิ่งที่ทำก็ต้องดูว่ามีผลหรือไม่ ถ้ามีผลว่าทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายเกิดความโกรธแค้นในมวลชนกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วเกิดความรุนแรงขึ้นไปปะทะกับเจ้าหน้าที่ด้วยความไม่เข้าใจ อย่างนี้ไม่ได้ต้องจัดการ ถอดออก ต้องไประงับยับยั้งหรือการทำอะไรที่ชี้นำไปในทางที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เห็นคนเตรียมอุปกรณ์อันนู้นอันนี้ก็บอกว่าเจ้าหน้าที่กำลังจะมาสลายแล้ว การกระทำแบบนี้จะต้องดูว่าผลที่เขาทำมันเกิดอะไรขึ้น แล้วดูองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย แต่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ถ้าทำแบบนี้แล้วเราเห็นว่าเจตนาที่จะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายก็มีมาตรการหลายอย่าง เช่น อาจจะทำหนังสือให้มาพบมาชี้แจงว่าเหตุผลที่ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แล้วคลิปนี้ถ้าดูแล้วแพร่กระจายแล้วเข้าใจผิดก็ต้องถอดออก ต้องลบออก
ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ขอเรียนว่า มีรายละเอียดและขั้นตอน ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะไปเที่ยวปิด นู่นนี่นั้น ไม่ใช่ ขอให้เข้าใจ แล้วจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการบังคับกับใครเลย ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง พี่น้องสื่อมวลชนก็ขอให้สบายใจ มีคนถามผมว่า สมมติตอนไลฟ์สดอยู่แล้วเห็นคนแล้วอธิบายเหตุการณ์โดยคาดการณ์ไปเอง ผลสุดท้ายมันไม่ใช่อย่างที่คิด ก็สามารถทำข่าวต่อได้โดยอธิบายต่อได้ว่าสุดท้ายแล้วไม่ใช่นะครับ เช่น เห็นมีรถน้ำมา ผู้สื่อข่าวก็รายงานสดไปว่ามีรถน้ำมาแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่จะเตรียมใช้กำลังหรือไม่ แต่พอถึงจบเรื่องนี้ไม่มีการใช้ ก็สามารถทำข่าวต่อไปได้ว่าสุดท้ายไม่ใช่เป็นการสลาย หรือไม่ใช่การยึดพื้นที่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นการเตรียมการตามปกติ
“ในสภาวะนี้ไม่ใช่สภาวะปกติของบ้านเมือง เป็นสภาวะที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นการสื่อ เสนอข่าวสารต่างๆ ก็ให้ยกระดับในการเพิ่มความระมัดระวัง ขอให้พึงระลึกไว้ว่ามีข่าวสารใดที่ทำไปแล้วและคิดว่าจะส่งผลกระทบขอให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย และเจ้าหน้าที่ก็จะติดตามดูแต่ว่าในเสรีภาพพื้นฐานที่ทำด้วยสุจริตสามารถทำได้เต็มที่ไม่ต้องห่วง” พล.ต.อ.สุวัฒน์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีสื่อไหนที่ล่อแหลม หรือเข้าข่ายที่ต้องดำเนินการบ้างหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตามข้อเท็จจริงที่หน่วยข่าวเสนอมา ก็คงต้องเอาข้อเท็จจริงมาประกอบ การข่าวก็คือเรื่องของข่าวที่นำเสนอส่วนหนึ่งแต่ว่าข้อเท็จจริงในแต่ละเคสก็ต้องมาดูประกอบ เราคงไปเหมารวมไม่ได้ ดูเป็นเรื่องๆ ผมเรียนว่าการบังคับก็ไม่ใช่ง่าย เพราะกว่าเราจะบังคับได้มันกระจายไปหมดแล้ว โลกออนไลน์ทุกวันนี้นับกันเป็นวินาที พอเราจะขยับข่าวไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือความร่วมมือ ขอให้พึงตระหนักเรื่องนี้ หนังสือฉบับนั้นส่วนหนึ่งทางกสทช. หรือกระทรวงดีอีเอสคงจะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ ถ้าจะให้ได้ผลประโยชน์จริงๆ ก็คือฝากพี่น้องสื่อมวลชน เราจะต้องช่วยกันมีความระมัดระวังให้มากขึ้น
ถามต่อว่าประเด็นในหนังสือระบุว่าห้ามเสนออะไรที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัว นิยามของคำว่าหวาดกลัวของผบ.ตร.คืออะไร ทางพล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า อย่างที่ตนพูดไปเมื่อสักครู่ เกิดสมมติบอกว่าเจ้าหน้าที่มีกระสุนยาง เจ้าหน้าที่เตรียมโน่นเตรียมนี่จะทำร้ายประชาชน ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ว่า เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายไม่ใช่ไปทำร้ายใคร แล้วเรื่องอุปกรณ์ต่างๆ เรายังไม่เคยใช้อะไร นอกจากที่เห็นที่ผ่านมา ผมเรียนว่า การบังคับใช้กฎหมาย เราเลือกไม่ได้ว่าจะบังคับอันนั้นไม่บังคับอันนี้ แต่เราพยายามใช้วิธีการที่เราคิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ ณ เวลานั้นๆ แต่ละห้วงเวลาก็ต่างกัน อยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเราดูแลคนสองฝั่ง ทั้งฝั่งที่เห็นด้วยและฝั่งที่ไม่เห็นด้วย เราอยู่ตรงกลาง เราทำอะไรไปเราก็ทราบ สมมติว่า เราทำแรง เบา หรือหนัก มันมีผล ไม่ว่าจะเป็นด้านใดด้านหนึ่ง เหรียญมีสองด้าน ถึงวันหนึ่งก็หวังว่าพี่น้องประชาชนจะเข้าใจว่าเราก็อยู่ตรงกลาง แต่เราก็พยายามที่จะทำหน้าที่ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครทำ
เมื่อถามอีกว่าเจตนาของกลุ่มบางคนหรือของสื่อที่มีการทำผิดซ้ำทาง ผบ.ตร.พิจารณาจากอะไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา และทำซ้ำๆ แล้วเกิดผลกระทบจากการที่เขาทำจนเกิดความสับสนวุ่นวาย เราก็ต้องพิจารณาเป็นบุคคลไป เช่น บุคคลคนนี้อาจจะมีเพจของตัวเองเอาเรื่องเท็จมาทำอยู่บ่อยๆ แล้วอ้างว่าเข้าใจผิด แต่ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ ก็จะดำเนินการเป็นขั้นตอน โดยอาจจะเรียกเข้ามาก่อน หรืออยู่ที่หน่วยงานที่เขารับผิดชอบ เช่น กระทรวงดีอีเอส กสทช. และบก.ปอท. แต่ถ้าเห็นว่าเจตนาชัดเจนเอาเฟdนิวส์มาออกบ่อยๆ ก็คงดำเนินการไปตามกฎหมาย อย่างบางคนที่ไปทำลายทรัพย์สินราชการเป็นตำรวจปลอมตัวมา เราก็ดูแล้ว เขามาคิดเองทำเอง ไม่ได้ไปรีทวีต หรือว่าไปเอาของใครมาโพสต์ต่อแล้วทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกฝั่งมีก็ไม่เคยนำเสนอ นำเสนอแต่สิ่งที่ผิดตลอดแบบนี้อาจจะชี้ได้ว่า เจตนาไม่ดี
ถามต่อว่า ข้อเท็จจริงกรณีหลังผู้ชุมนุมประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว แต่ยังมีมวลชนบางกลุ่มอยู่บริเวณแยกบางนามีการทำร้ายกัน ก่อนจะขว้างสิ่งของทำลายป้อมตำรวจจราจร นั้น ผบ.ตร. กล่าวว่า เท่าที่ได้ตรวจสอบเป็นกลุ่มคน กลุ่มนักศึกษา 2 สถาบัน เดิมก็มาอยู่ด้วยกันดีๆ แล้วก็มีการดื่มสุรา แล้วมีการทำร้ายซึ่งกันและกัน และไปทุบทรัพย์สินของทางราชการ ยืนยันว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่
ถามอีกว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมใช้แอปพลิเคชันเรียกระดมพลกันได้เร็วขึ้น ทางตำรวจจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องนี้เท่าที่ได้ดำเนินการไปได้ส่งไปให้กระทรวงดีเอสพิจารณาดำเนินการในอาจหน้าที่ ทั้งนี้ ทราบว่า กลุ่มผู้ชุมนุมหันมาใช้ช่องทางสื่อสารกันทางเทเลแกรม