ศาลล้มละลายมีคำสั่งเห็นชอบให้ฟื้นฟูกิจการการบินไทย เชื่อประกอบกิจการมานาน มีความสามารถสร้างรายได้และมีโอกาสชำระหนี้ได้
วันนี้ (14 ก.ย.) ศาลล้มละลายกลางได้นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำ ที่ ฟฟ 10/2563 ระหว่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและขอให้ศาลตั้งบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ
ซึ่งมีเจ้าหนี้ ยื่นคำคัดค้าน รวม 16 ราย
ศาลไต่สวนพยานลูกหนี้ผู้ร้องขอ รวม 5 ปาก และไต่สวนพยานเจ้าหนี้ผู้คัดค้าน รวม 3 ปาก โดยใช้เวลาพิจารณาคดีรวม 3 นัด
ศาลพิเคราะห์คำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ คำคัดค้าน และพยานหลักฐานในสำนวนคดีแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่สามารถที่จะชำระหนี้ตามกำหนดได้หรือไม่
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณางบแสดงฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 และวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ลูกหนี้มีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์และส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ซึ่งงบแสดงฐานะทางการเงินได้ตรวจสอบและสอบทานตามมาตรฐานการบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้ว ประกอบกับสินทรัพย์ในงบแสดงฐานะการเงินของลูกหนี้บางรายการมิได้เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าที่สามารถยึด หรือบังคับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายได้ เป็นเพียงการบันทึกตามมาตรฐานทางบัญชีเท่านั้น นอกจากนั้น ปัจจุบันลูกหนี้มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระ โดยลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ที่ถึงกำหนดได้ ในเรื่องนี้เจ้าหนี้ผู้คัดค้านในคดีก็ไม่ได้นำสืบเป็นอย่างอื่น ลูกหนี้จึงมีหนี้สิน ล้นพ้นตัวและไม่สามารถที่จะชำระหนี้ตามกำหนดได้ โดยเป็นหนี้เจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองว่า มีเหตุอันสมควรและช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้หรือไม่
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า โครงสร้างธุรกิจของลูกหนี้เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ และมีความจำเป็นต่อระบบการคมนาคมและขนส่งทางอากาศ ลูกหนี้มีทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจที่มีมูลค่าและบุคลากรที่มีความ เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีชื่อเสียงและประสบการณ์จากการประกอบกิจการมานาน ปัจจุบันลูกหนี้ยังคงมีความสามารถในการสร้างรายได้ สาเหตุที่ทำให้ลูกหนี้ประสบปัญหาทางการเงิน มิได้เกิดจากพื้นฐานธุรกิจของลูกหนี้อย่างแท้จริง แต่เกิดจากสภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผลกระทบจากการแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยภายนอก ทำให้การประกอบกิจการการบินพาณิชย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของลูกหนี้และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องต้องลดการให้บริการลงอย่างฉับพลัน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการบินในต่างประเทศหากลูกหนี้ไม่ได้รับการฟื้นฟูกิจการกรณีย่อมเกิดความเสียหายต่อลูกหนี้ เจ้าหนี้ทั้งหลาย ลูกจ้าง ผู้ลงทุนในกิจการของลูกหนี้ ประชาชน และกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ส่วนช่องทางการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้นั้น เจ้าหนี้ผู้ให้เช่าหรือผู้ให้เช่าซื้อเครื่องบินหลายรายสนับสนุนให้ลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และยินยอมให้ลูกหนี้ใช้เครื่องบินที่ให้เช่าหรือให้เช่าซื้อโดยพักหรือขยายระยะเวลาการชำระหนี้บางส่วนเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้ อีกทั้งลูกหนี้ยังมีหนังสือสนับสนุนการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการและไม่ประสงค์คัดค้านคณะผู้ทำแผนที่ลูกหนี้เสนอมาแสดงเป็นหลักฐานยืนยันว่าลูกหนี้ได้เจรจาประนอมหนี้เรื่อยมาและได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้สถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผู้ให้เช่าและให้เช่าซื้อเครื่องบิน ผู้ให้บริการด้านอากาศยาน สายการบินคู่ค้า ผู้ถือหุ้นกู้รายใหญ่และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบธุรกิจของลูกหนี้ ทำให้ข้อกล่าวอ้างของลูกหนี้มีน้ำหนักดังนี้ หากได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โครงสร้างองค์กร และการบริหารจัดการของลูกหนี้ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดในอนาคตตาม ความเหมาะสมภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ลูกหนี้ย่อมมีโอกาสดำเนินธุรกิจต่อไป และมีรายได้สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อย่างเป็นธรรมในจำนวนที่ดีขึ้นกว่าเดิมหรือ อย่างน้อยจะไม่ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมจากการคงสภาพกิจการ ของลูกหนี้ไว้ ทั้งสามารถรักษาการจ้างงานจำนวนมาก ซึ่งเป็น ประโยชน์มากกว่าการปล่อยให้กิจการของลูกหนี้ต้องล้มละลายข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า มีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สามว่า ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการโดยสุจริตหรือไม่
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อลูกหนี้เป็นผู้มีหนี้ สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้ตามกำหนดได้ ลูกหนี้ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอได้ตามกฎหมาย ทั้งเจ้าหนี้ผู้คัดค้านในคดีไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้รับฟังได้ว่าลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการโดยไม่สุจริต นอกจากนี้ การที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ย่อมมีผล เป็นเพียงการจัดตั้งกระบวนการบังคับเจ้าหนี้ทั้งหลายและลูกหนี้ ให้ เจรจาตกลงกันในเรื่องมูลหนี้ โดยมีผู้ทำแผนเป็นผู้แทนของลูกหนี้ใน การจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อหาวิธีการรักษามูลค่าทรัพย์สินของลูกหนี้ และเพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้มากที่สุดด้วยความเป็นธรรม จากข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยข้างต้นจึงรับฟังได้ว่า ลูกหนี้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/3 และได้ความจริงครบถ้วนตามมาตรา 90/10
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า บุคคลที่ลูกหนี้เสนอสมควรเป็นผู้ทำแผนหรือไม่
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าตามเจตนารมณ์ ของพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ผู้ทำแผนต้องตรวจสอบรายละเอียด และความเป็นไปได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ของลูกหนี้บนหลักการที่ว่าแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จะต้องก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย และเจ้าหนี้จะต้องได้รับชำระหนี้ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการมากกว่ากรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย ซึ่งแผนฟื้นฟูกิจการต้องจัดทำขึ้นโดยความยินยอมของเจ้าหนี้และผู้ทำแผน หากผู้ทำแผนจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ที่มีสัดส่วนหนี้ข้างมากตามกฎหมาย หรือทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมแผนฟื้นฟูกิจการเช่นว่านั้นย่อมไม่ได้รับความ เห็นชอบให้มีผลบังคับและผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหลายได้ด้วยหลักการดังกล่าว บุคคลซึ่งลูกหนี้เสนอเป็นผู้ทำแผนย่อมไม่สามารถจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการไปตามที่ตนเองต้องการโดยปราศจากความร่วมมือจากเจ้าหนี้อื่นได้ ทั้งเจ้าหนี้ผู้คัดค้านในคดีก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานอื่น เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างให้รับฟังได้ตามคำคัดค้าน และไม่ได้เสนอบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นผู้ทำแผน
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ที่ลูกหนี้เสนอขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม หรือไม่สมควรเป็นผู้ทำแทน จึงเห็นสมควรตั้งบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทำแผนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/17
ศาลจึงมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ผู้ร้องขอโดยตั้งบริษัท อีวาย คอร์ปอเรท แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ร่วมกับ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, นายบุญทักษ์ หวังเจริญ, นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร เป็นผู้ทำแผน