ศาลอุทธรณ์สั่งปรับ “เพนกวิน กับ บอล- ธนวัฒน์” คนละ 2,000 บาท จัดชุมนุมสาธารณะประท้วงเพลงหนักแผ่นดิน หน้ากองทัพบก เมื่อปี 62 โดยไม่ได้รับอนุญาต
วันนี้ (3 ก.ย.) ศาลแขวงดุสิตนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีอาญาหมายเลขดำ ที่ อ330/2563 ที่อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (แขวงดุสิต) โจทก์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กับนายธนวัฒน์ หรือบอล วงค์ไชย นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2562 เวลากลางวันถึงเวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทางเว็บไซต์เฟซบุ๊ก เชิญชวนให้ประชาชนไปร่วมกิจกรรมเพื่ออธิบายให้พล.อ.อภิรัตช์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.เข้าใจว่าทำไมไม่ควรเปิดเพลงหนักแผ่นดินตามสายในหน่วยงานทหารต่างๆ อ้างว่าไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นกิจกรรมเพื่อการศึกษา ต่อมาเมื่อถึงเวลานัดหมายในวันที่ 20 ก.พ. 2562 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยมีพวกของจำเลยทั้งสองร่วมชุมนุมที่บริเวณเกาะกลางถนน หน้ากองบัญชาทหารบก ถ.ราชดำเนินนอก กทม.
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2562 ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง,14, 28 เนื่องจากไม่มีการปิดกั้นสถานที่ให้คนเข้าร่วมชุมนุม ให้ปรับเงินคนละ 2,000 บาท
ต่อมา จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าจัดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้ความรู้และสอนประวัติศาสตร์ผู้บัญชาการทหารบก อันเป็นกิจกรรมเพื่อการศึกษานั้น จำเลยทั้งสองเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนักศึกษามีความรู้และประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับของสังคมในเรื่องใด ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ให้การศึกษาหรือมีหน่วยงานองค์กรใด ขอให้จำเลยทั้งสองมาบรรยายให้ความรู้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวจึงเป็นการจัดการชุมนุมแสดงความคิดเห็นเพื่อคัดค้านการกระทำของ ผบ.ทบ. บริเวณเกาะกลางถนนด้านหน้ากองบัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นที่สาธารณะการจัดกิจกรรมดังกล่าวย่อมเป็นการชุมนุมสาธารณะ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยประเด็นว่า การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องมุ่งแต่จะใช้กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของจำเลยทั้งสอง และเป็นการกระทำที่รวดเร็วรวบรัดตัดตอน ขัดกับการสอบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งขัดกับหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง นั้นเป็นข้อคิดเห็นของจำเลยทั้งสอง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ และมิใช่เป็นการโต้แย้งว่า พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนคดีนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยทั้งสองจัดการชุมนุมทำกิจกรรมอันเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและเป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดีที่จะต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานจัดการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ปรับจำเลยคนละ 2,000 บาท