MGR Online - กองปราบบุกทลายแก๊งโจรกรรมรถข้ามชาติส่งขายลาว ยึดรถยนต์ 26 คัน ผงะทำมา 3 ปี ส่งออกนับร้อยคัน มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
วันนี้ (3 ส.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 09.30 น. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ต.หญิง กัญจิรา นรสาร สว.กก.3 บก.ป. เลขาฯ ชุดปฏิบัติการหลัก ศปจร.ก. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลทลายแก๊งค้ารถข้ามชาติพื้นที่ภาคอีสาน พร้อมควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวได้จำนวน 5 ราย และตรวจยึดรถยนต์ ของกลางได้จำนวน 26 คัน แผ่นป้ายทะเบียน หนังสือเอกสารการครอบครองรถอีกจำนวนมาก
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก “กองปราบปราม” เกี่ยวกับพฤติการณ์ของขบวนการลักลอบค้ารถข้ามชาติกลุ่มนี้ จึงได้จัดกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสนานร่วม 6 เดือน กระทั่งพบว่ามีนายทุนใหญ่หัวหน้าขบวนการเป็นชาวลาว โดยมีสมาชิกผู้ร่วมขบวนการที่เป็นคนไทยแฝงตัวอยู่ตามพื้นที่ จ.มุกดาหาร และ จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นๆ ของภาคอีสาน เพื่อจัดหารถตามออเดอร์ของนายทุนชาวลาวรายนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ หรือ ฟอร์จูนเนอร์ ที่ส่วนมากมักจะเป็นรถหนีบริษัทไฟแนนซ์ จากผู้เช่าซื้อที่มีความเดือดร้อนเรื่องเงิน โดยเป็นการซื้อต่อๆ กันมาในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด หรือรับซื้อรถยนต์จากตลาดมืด หรือเพจรถหลุดจำนำ หลังจากนั้นจะนำมาแก้ไข ดัดแปลง ตอกหมายเลขตัวรถและหมายเลขเครื่องยนต์ให้ตรงกับเอกสารประกอบตัวรถที่ได้เตรียมเอาไว้แล้ว ให้มีลักษณะ ตรงรุ่น ตรงสี หรือเรียกว่าเป็นการสวมยกชุด ก่อนจะนำเอกสารรถยนต์เท็จไปแสดงต่อกรมการขนส่งทางบก, เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อลักลอบนำรถยนต์ออกนอกราชอาณาจักรไทย โดยข้ามผ่านสะพานมิตรภาพทางช่องทางปกติ ไปส่งขายต่อให้กับกลุ่มพ่อค้าฝั่งประเทศลาว ซึ่งทำมานานกว่า 3 ปี สามารถส่งออกรถไปได้แล้วนับร้อยคันมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และอาจเป็นไปได้ว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวอีกด้วย
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวอีกว่า เมื่อพบเบาะแสแน่ชัดจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลเข้าตรวจค้นอู่ซ่อมและแหล่งซุกซ่อนรถในพื้นที่จังหวัด มุกดาหาร อุบลราชธานี และ สกลนคร จำนวนหลายจุด จนสามารถตรวจยึดรถยนต์และเอกสารของกลางได้ดังกล่าว พร้อมกับควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าวจำนวน 5 คน มาทำการสอบปากคำ โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการแจ้งข้อหา “ปลอมและใช้เอกสารของทางราชการปลอม แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ, นําหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจํากัด หรือของต้องห้ามหรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหรือออกไปนอกพระราชอาณาจักร” ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมกับเตรียมตรวจสอบเส้นทางการเงินขยายผลติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือรายอื่นต่อไป