“ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 ตอน 3 หญิงเหล็ก คุมศาลยุติธรรม ครั้งแรกประวัติศาสตร์ท่านเปา
วงรอบของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปีได้เวียนกลับมาอีกครั้ง โดยที่ตั้งแต่ช่วงเดือนนี้เป็นต้นไปจนถึงก่อนสิ้นเดือนกันยายน จะมีรายการแต่งตั้งข้าราชการทะยอยออกมาเป็นระยะๆ
ซึ่งปี2563นี้จะเป็นปีทองของการแต่งตั้งคนใหม่ขยับเลื่อนชั้นเข้ามารับตำแหน่งหน้าที่แทนคนเดิม ที่ต้องลุกจากเก้าอี้จากการเกษียณอายุราชการ จำนวนมาก
ปีนี้มีไฮไลต์มีความน่าสนใจอยู่ที่หน่วยงานราชการหลายวงการ ที่แรกก็คือเหล่าทัพ ปี 2563 นี้ผู้นำเหล่าทัพ ทั้งกองทัพบก เรือ อากาศ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด รวมถึง ผบ.ตร.จะกอดคอกันเกษียณอายุราชการ สิ้นเดือนกันยายน ยกเว้นปลัดกระทรวงกลาโหมคนเดียวที่ยังอยู่ต่ออีกหนึ่งปี
เท่ากับว่า หัวขบวนของหน่วยงานความมั่นคงของประเทศ จะผลัดใบพร้อมกัน แต่ทหารทุกเหล่าทัพได้มีการวางตัวแคนดิเดต เพื่อขึ้นมารับไม้ต่อเป็นที่เรียบร้อย และค่อนข้างลงตัวกันไปแล้ว คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในการช่วงชิงเก้าอี้
คงเหลือแต่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องรอดูว่าหลังพล. ต. อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่สร้างประวัติศาสตร์นั่งเก้าอี้ยาวนานถึง5 ปี เกษียณแล้วใครจะมาเป็นผบ. ตร. คนต่อไป
ซึ่งตอนนี้ร่อนตะแกรงแล้วเหลือเพียง พล. ต. อ. มนู เมฆหมอก กับพล. ต. อ. สุวัจน์ แจ้งยอดสุข สองรองผบ. ตร. ที่จะแข่งกันเข้าวิน โดยสถานการณ์ยังเบียดกันอย่างสูสี เพราะมีโปรโมเตอร์ระดับซุปเปอร์พาวเวอร์ส่งเสริมทั้งคู่
แต่ที่สุดของความน่าสนใจปีนี้ ต้องตามไปดูที่วงการศาลยุติธรรม เพราะประธานศาลฎีกาจะครบอายุ65ปี ต้องลงจากตำแหน่งบริหารไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโส แทน จนครบอายุ70 ปี
ซึ่งปีนี้ นอกจากประธานศาลฎีกาแล้ว ประธานศาลอุทธรณ์ ก็ครบวาระเช่นกัน
ถือว่าเบอร์1และ2 ครบวาระแล้ว ยังจะมีผู้พิพากษาในตำแหน่งบริหารในระดับสูง ที่มีอาวุโสรองลงมา แต่ล้วนแล้วอยู่ส่วนบนสุดของโครงสร้างอำนาจศาลยุติธรรม ต้องลุกจากตำแหน่งมากเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ด้วย
สำหรับประธานศาลฎีกา ท่านไสลเกศ วัฒนพันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขศาล เมื่อปีที่แล้ว แต่ผลงานในหนึ่งปีที่ผ่านมา นับว่าควรค่าแก่การกล่าวถึงมาก คือ การกำหนดและเริ่มนโยบายเปิดศาลให้ประกันตัวผู้ถูกดำเนินคดีทุกวันตลอด24ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ
โครงการนี้ เกิดขึ้นได้ เนื่องจากท่านไสลเกษมีหลักคิดว่า “อิสรภาพและเสรีภาพ ต้องไม่มีวันหยุด” โดยการจัดให้มีผู้พิพากษาเวรประจำศาลทั้งศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกา เพิ่มขึ้นในวันหยุดราชการ คอยทำหน้าที่พิจารณาการให้ประกันตัว จนเป็นผลที่สัมผัสได้ในตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
กลับมาที่ ผู้บริหารศาลยุติธรรมที่ลงจากตำแหน่งในลำดับถัดลงมา ก็มี รองประธานศาลฎีกาที่มีอยู่ทั้งหมด 6 ตำแหน่ง ปีนี้จะลุกจากตำแหน่ง5 ท่าน เหลือเพียงสุภาพสตรีคนเดียว คือ ท่านเมทินี ชโลธร รองประธานศาลฎีกา อาวุโสลำดับที่3
เมื่อประธานศาลอุทธรณ์ ลงจากตำแหน่งบริหาร ที่นับตามอาวุโส จะต้องขึ้นเป็นประธานศาลฎีกา สิทธิ์ก็จะมาถึงรองประธานศาลฎีกาอาวุโสในลำดับ 1 แต่ปีนี้รองประธานศาลฎีกาเบอร์1และ2อายุครับ65 ปี ก็ต้องลงไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโส
ประธานศาลฎีกาคนใหม่ต่อจากท่านไสลเกษ ก็เลยเป็นของ สุภาพสตรี ท่านเมทินี ที่เลื่อนขึ้นมามีอาวุโสสูงสุด
ถ้าท่านเมทินี ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกา จะเป็นสุภาพสตรีท่านแรกที่ดำรงตำแหน่งประมุขศาลยุติธรรม ในประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่มีการปกครองด้วยระบบนิติรัฐ
ท่านเมทินีเป็นหญิงเหล็กแห่งวงการศาลยุติธรรมที่ได้รับการยกย่องในประวัติการทำงานอย่างยิ่ง เคยผ่านงานในตำแหน่งสำคัญ เช่น เป็นประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่กำกับดูแลคดีภาษี คดีแรงงาน คดีเยาวชน คดีทรัพย์สินทางปัญญา และคดีล้มละลาย ถือว่ามีประสบการณ์ ที่เป็นที่ยอมรับของคนในศาลยุติธรรม
โดยปัจจุบันได้รับการยอมรับจากผู้พิพากษาในศาลฎีกาให้ทำหน้าที่กรรมการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิในศาลฎีกา อดีตก็เคยได้รับการเลือกตั้งจากผู้พิพากษาทั่วประเทศให้ทำหน้าที่กรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือ กบศ. ซึ่งมีภารกิจสำคัญคือการกำกับดูแลงานบริหารราชการศาลยุติธรรม
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่จะต้องบันทึกไว้ด้วยว่า ประธานอุทธรณ์ ซึ่งรับเป็นเบอร์2 ของศาลยุติธรรมไทย ก็จะได้สุภาพสตรีเช่นกัน เนื่องจากการลงจากตำแหน่งของประธานแผนกคดีในศาลฎีกาที่มีอาวุโสมากกว่า
ทำให้ ตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ ไล่ลงมาตกถึงคิวผู้มีอาวุโสลำดับ14 แห่งยุทธจักรท่านเปา คือ ท่านปิยกุล บุญเพิ่ม ประธานแผนกคดีล้มละลาย ซึ่งก็เป็นสุภาพสตรี หญิงเหล็กอีกคน
ตามคิวและตามนิติประเพณีการแต่งตั้งในวงการศาลยุติธรรมแล้ว ทำนายล่วงหน้าก็จะได้ ประมุขศาลยุติธรรม และรองประมุข เป็นสุภาพสตรี แต่ยังมีสถิติใหม่ที่จะเกิดขึ้นเป็นประวัติศาสตร์วงการศาลยุติธรรม ในปีนี้
นั่นก็คือ เมื่อผู้มีอาวุโสสูงกว่าได้ดำรงตำแหน่งเบอร์1 และ2 ไปแล้ว ลำดับถัดมา ผู้ที่จะขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา ลำดับที่1 ซึ่งนับเป็นเบอร์3 ก็จะเป็นสุภาพสตรีอีกหนึ่งท่าน
คือ ท่าน วาสนา หงษ์เจริญ ประธานแผนกคดีเยาวชน ในศาลฎีกา ซึ่งแม้ว่าจะมีลำดับอาวุโสอยู่ที่16 แต่ด้วยที่คนมีอาวุโสสูงกว่าต้องลงจากตำแหน่งบริหารศาล จึงส่งให้ท่านวาสนาเข้ามารั้งตำแหน่งรองประธานศาลฎีกา อาวุโสลำดับ1 แบบก้าวกระโดดโดยไม่ต้องออกแรงแซงใคร
การแต่งตั้งบุคคลในวงการศาลยุติธรรม ยึดถือนิติประเพณีที่พิจารณาเรื่องอาวุโสอย่างเคร่งครัด จึงฟันธงได้ว่า บิ๊กทรี หรือ3ผู้บริหารสูงสุดแห่งวงการศาลยุติธรรมหลังกันยายนนี้
ได้แก่ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ และรองประธานศาลฎีกา อาวุโสเบอร์1 จะเป็นสุภาพสตรีทั้งสามท่าน อย่างแน่นอน