MGR Online - ดีเอสไอ ร่วม กรมการปกครอง และจังหวัดเชียงราย ตรวจสอบกรณีคนต่างด้าวเข้ามาสวมสิทธิสัญชาติไทย โดยมิชอบด้วยกฎหมาย พบ 255 รายชื่อ ลงทุนธุรกิจต้องห้ามคนต่างด้าว เข้าข่ายคดีพิเศษเตรียมเอาผิดทางกฎหมายผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
วันนี้ (26 พ.ค.) เวลา 15.30 น. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รักษาราชการแทน อธิบดีดีเอสไอ มอบหมายให้ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล รองอธิบดีดีเอสไอ, ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง และ นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย ผู้อำนวยการส่วนคดีความมั่นคง 2 บูรณาการร่วมกับ กรมการปกครอง โดย นายวีระชาติ ดาริชาติ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน, นายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน, นายอุดม อยู่อินไกร นายอำเภอเวียงแก่น และตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ตรวจสอบกรณีคนต่างด้าวสวมสิทธิสัญชาติไทยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และได้ใช้สิทธิไปประกอบธุรกิจต้องห้าม อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรมการกงสุลได้ส่งข้อมูลให้กองคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ตรวจสอบกรณี นายแก้ว แซ่ลี ถือหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ ทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติจีน ซึ่งตรวจพบโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในประเทศจีน จากการตรวจสอบพบว่า นายแก้ว แซ่ลี เป็นคนต่างด้าว ได้สวมสิทธิสัญชาติไทย โดยใช้วิธีสวมชื่อบุคคลสัญชาติไทยที่ยังมีชีวิตอยู่โดยมิชอบ เหตุเกิดที่สำนักทะเบียนอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐ (อดีตปลัดอำเภอเวียงแก่น) ที่ทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยนายทะเบียนอำเภอเวียงแก่น เป็นผู้ดำเนินการ โดย ดีเอสไอ ส่งเรื่องดังกล่าวให้กรมการปกครอง เพื่อเพิกถอนการรายการสิทธิสัญชาติไทยและดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องแล้ว และดำเนินการสืบสวนขยายผลร่วมกับสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีการสวมสิทธิโดยมิชอบในช่วงเวลาที่ปลัดอำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นผู้กระทำผิดอีกจำนวน 255 รายชื่อ จึงเป็นที่มาของการบูรณาการร่วมกันใน 2 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งกรมการปกครองเป็นผู้รับผิดชอบ และ 2. ด้านการประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าว
ดีเอสไอ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยได้รับกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสืบสวนที่ 23/2563 และขณะนี้ได้นำรายชื่อบุคคลจำนวน 255 รายชื่อ ที่ปรากฏภาพลายนิ้วมือในขณะแจ้งถิ่นพำนัก ส่งไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วมือขณะทำบัตรประชาชน เพื่อพิสูจน์ตัวบุคคล รวมทั้งได้นำรายชื่อทั้ง 255 ราย ตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า มีการไปจดทะเบียนประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าวจำนวน 15 ราย ในลักษณะนิติบุคคลรวม 19 บริษัท โดย 1 ใน 15 ราย ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 3 บริษัท มีทุนจดทะเบียนรวมกันไม่น้อยกว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสินทรัพย์ของนิติบุคคลรวมเกิน 100 ล้านบาท อันเข้าข่ายลักษณะที่เป็นคดีพิเศษ ซึ่ง ดีเอสไอ จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
ดีเอสไอ มุ่งมั่นดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกรณีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 อย่างเด็ดขาดและครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อคุ้มครองธุรกิจที่คนไทยไม่พร้อมที่จะแข่งขันกับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งได้ใช้วิธีการให้คนต่างด้าวกลุ่มนี้เข้าสวมสิทธิเป็นคนไทยโดยมิชอบ แล้วเข้าไปถือหุ้นแทนในลักษณะนอมินีว่าเป็นธุรกิจของคนไทย รวมถึงการตรวจสอบที่มาของแหล่งเงินทุนของธุรกิจของคนต่างด้าวดังกล่าวว่าเข้าข่ายการกระทำผิดตามกฎหมายฟอกเงินด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อมูล หรือเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าว สามารถแจ้งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ที่สายด่วน DSI Call Center 1202 (โทร.ฟรีทั่วประเทศ) โดยจะเก็บรักษาข้อมูลผู้แจ้งเบาะแสไว้เป็นความลับ